ลาซโล คราซนาฮอร์ไค : ปรมาจารย์งานเขียนแห่งวันสิ้นโลก คว้าโนเบลวรรณกรรม 2025
Faces

ลาซโล คราซนาฮอร์ไค : ปรมาจารย์งานเขียนแห่งวันสิ้นโลก คว้าโนเบลวรรณกรรม 2025

Focus
  • ลาซโล คราซนาฮอร์ไค (László Krasznahorkai) นักเขียนชาวฮังการีวัย 71 ปี คว้ารางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม ประจำปี 2025 และเป็นนักเขียนชาวฮังการีคนที่ 2 ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม หลังจาก Imre Kertész คว้ารางวัลนี้ได้ในปี ค.ศ. 2002
  • ลาซโล คราซนาฮอร์ไค ได้รับยกย่องให้เป็นปรมาจารย์งานเขียนแห่งวันสิ้นโลก โดยเฉพาะจากนวนิยายลำดับที่ 2 The Melancholy of Resistance

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 Swedish Academy ได้ประกาศมอบ รางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม ให้กับ ลาซโล คราซนาฮอร์ไค (László Krasznahorkai) นักเขียนชาวฮังการีวัย 71 ปี และเป็นนักเขียนชาวฮังการีคนที่ 2 ที่ได้รับรางวัล โนเบลวรรณกรรม หลังจาก Imre Kertész คว้ารางวัลนี้ได้ในปี ค.ศ. 2002  โดยทางคณะกรรมการโนเบลให้เหตุผลถึงความเหมาะสมของ ลาซโล คราซนาฮอร์ไคต่อรางวัล โนเบลวรรณกรรม นี้ว่า “ผลงานของเขาน่าสนใจและมีวิสัยทัศน์ อันเป็นการตอกย้ำถึงพลังแห่งศิลปะที่ไม่อาจสั่นคลอนท่ามกลางความหวาดกลัวแห่งวันสิ้นโลก”

ลาซโล คราซนาฮอร์ไค

Anders Olsson ประธานคณะกรรมการโนเบล กล่าวว่า ลาซโล คราซนาฮอร์ไค คือ นักเขียนมหากาพย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งถ่ายทอดขนบประเพณียุโรปกลางที่สืบทอดมาตั้งแต่ Kafka ถึง Thomas Bernhard ทั้งยังมีลักษณะเด่นคือความไร้สาระและความเกินเลยแบบประหลาดพิกล  ขณะที่ ลาซโล คราซนาฮอร์ไค ให้สัมภาษณ์กับทาง Swedish Radio หลังได้รับรางวัลว่า

“ผมดีใจอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลโนเบล เหนือสิ่งอื่นใดเพราะรางวัลนี้พิสูจน์ว่าวรรณกรรมมีอยู่จริงในตัวมันเอง นอกเหนือจากความคาดหวังที่ไม่เกี่ยวกับวรรณกรรม และยังคงมีผู้อ่านอยู่” เขาเสริมว่ารางวัลนี้อาจให้ความหวังแก่ผู้อ่านว่า “ความงาม ความสูงส่ง และสิ่งที่ประเสริฐ ยังคงมีอยู่เพื่อตัวมันเอง”

ลาซโล คราซนาฮอร์ไค

จากเด็กหนุ่มนักดนตรีสู่นักเขียนผู้โด่งดัง

ลาซโล คราซนาฮอร์ไค เกิดในปี ค.ศ. 1954 ที่เมือง Gyula ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฮังการี ใกล้ชายแดนโรมาเนีย ครอบครัวของเขามีรากเหง้าเป็นชาวยิว แต่ถูกเก็บเป็นความลับมาตลอดโดยคุณปู่เปลี่ยนนามสกุลจาก Korin เป็น Krasznahorkai เพื่อหลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติ ตัวเขาเองไม่ทราบเรื่องนี้จนกระทั่งพ่อเล่าให้ฟังตอนอายุ 11 ปี

ในวัยเด็กเขามีความสามารถด้านดนตรีจนเรียกว่าเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ด้านนี้เลยก็ว่าได้ ตัวเขาเองยังเคยทำงานเป็นนักดนตรีมืออาชีพ เล่นเปียโนในวงแจ๊ส และร้องเพลงในวงร็อค แผนเดิมของเขาคือเขียนหนังสือเพียงเล่มเดียว แล้วกลับไปสู่วงการดนตรี ทว่าหลังเรียนจบภาษาและวรรณคดีจากฮังการี เขาได้เข้ารับราชการทหารและหลบหนี หลังถูกลงโทษข้อหา ‘ไม่เชื่อฟัง’ เขาจำต้องทำงานหนักหลายอย่าง ทั้งคนงานเหมือง และยามรักษาการณ์กลางคืนดูแลวัว 300 ตัว ซึ่งงานหลังนี้ทำให้เวลาเขาอ่านหนังสือของ Dostoyevsky และ Malcolm Lowry’s Under the Volcano ซึ่งเขาเรียกหนังสือเหล่านั้นว่าเป็น “พระคัมภีร์”

ครั้งหนึ่ง ลาซโล คราซนาฮอร์ไค ต้องเผชิญกับการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่คอมมิวนิสต์ เนื่องจากแนวคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่ปรากฏในเรื่องสั้นเรื่องแรกของเขาที่ได้ตีพิมพ์ พร้อมกับยึดหนังสือเดินทาง แต่เขาก็ไม่ท้อในเส้นทางสายวรรณกรรม ปี ค.ศ. 1987 เขาย้ายจากฮังการียุคคอมมิวนิสต์ไปเบอร์ลินตะวันตกที่มีบรรยากาศการปกครองแบบตรงข้าม “ผมพบบรรยากาศประชาธิปไตยที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน” เขากล่าว “ตั้งแต่นั้นมา ผมไม่เคยลืมรสชาติของเสรีภาพ”

ลาซโล คราซนาฮอร์ไค

Satantango” ผลงานเปิดตัวที่สั่นสะเทือนวงการ

ในปี 1985 นวนิยายเล่มแรกของเขาเรื่อง Sátántangó  (ชื่ออังกฤษ Satantango) ก็ถูกตีพิมพร้อมปรากฏการณ์ทางวรรณกรรมในฮังการี หนังสือเล่มนี้บรรยายชีวิตของกลุ่มคนยากจนในฟาร์มเกษตรกรรมส่วนรวมที่ถูกทิ้งร้างในชนบทฮังการี ก่อนที่ระบบคอมมิวนิสต์จะล่มสลาย

“ไม่มีใครเข้าใจ รวมทั้งตัวผมเอง ว่าทำไม Satantango จึงผ่านการตีพิมพ์ได้ เพราะมันไม่ใช่นวนิยายที่ไม่มีปัญหากับระบบคอมมิวนิสต์แน่นอน” เขากล่าวกับ The Paris Review ในปี 2018

โนเบลวรรณกรรม

นวนิยาย Satantango เล่มนี้มี 12 บท แต่ละบทเขียนเป็นพารากราฟเดียวยาวเหยียด ไม่มีเครื่องหมายจุดคั่น และด้วยประโยคที่ยาวคดเคี้ยวนี่เองได้กลายมาเป็นสไตล์การเขียนอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา เรื่องราวของ Satantango เกิดขึ้นในฟาร์มที่คนทั้งหมดกำลังรอปาฏิหาริย์ ความหวัง จนกระทั่ง Irimiás และ Petrina สองชายที่ทุกคนเชื่อว่าตายไปแล้ว กลับมาปรากฏตัว พวกเขาดูเหมือนผู้ส่งสารแห่งความหวัง หรืออาจเป็นวันพิพากษาสุดท้าย แต่ Irimiás กลับเป็นนักต้มตุ๋นที่มีเสน่ห์ ทำให้เกือบทุกคน “ติดกับดัก” ด้วยคำพูดหลอกลวงของเขา

สำหรับชื่อเรื่อง Satantango บ่งบอกถึงการเต้นรำของซาตานที่เต็มไปด้วยการจัดการและศีลธรรมของทาส ส่วนคำคมเปิดเรื่องจาก Franz Kafka กล่าวว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะพลาดมันเพราะการรอคอย” ได้ทำลายความหวังตั้งแต่แรกเริ่มเปิดเรื่อง

ลาซโล คราซนาฮอร์ไค
George Szirtes (ขวา) ผู้แปล Satantango เป็นภาษาอังกฤษ
ภาพ : Man Booker International Prize 2015

George Szirtes ผู้แปล Satantango เป็นภาษาอังกฤษ กล่าวว่า “หนังสือดูน่ากลัวในบางแง่ เพียงเพราะไม่มีการขึ้นบรรทัดใหม่” แต่เขาก็ยอมรับว่า “เขาไม่ได้จัดการกับการเมืองใหญ่ เขาจัดการกับประสบการณ์ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในสังคมที่กำลังเน่าเปื่อยและแตกสลาย”

ในปี 1994 ผู้กำกับชาวฮังการี เบลา ทาร์ (Béla Tarr) ดัดแปลง Satantango เป็นภาพยนตร์ขาวดำความยาวกว่า 7 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งกลายเป็นตำนานในวงการภาพยนตร์ Tarr เล่าว่าเขาอ่านหนังสือจบในคืนเดียว และรู้ทันทีว่าต้องทำเป็นหนัง “คนเหล่านี้น่าสงสาร แต่ผู้เขียนได้มอบ ‘ศักดิ์ศรี’ ที่หาได้ยากให้พวกเขา”  ซึ่งเบลา ทาร์ นั้นเป็นนักสร้างภาพยนตร์คนสำคัญของฮังการี ด้วยวิธีการนำเสนอแนวตลกอาวองการ์ดและศิลปะด้านภาพที่โดดเด่นเป็นต้นแบบในโลกภาพยนตร์ การดัดแปลงงาน Satantango เป็นภาพยนตร์จึงเป็นที่จับตาอย่างมาก

ลาซโล คราซนาฮอร์ไค
ภาพ : © László Krasznahorkai

ปรมาจารย์แห่งวันสิ้นโลก”

หลังจาก ลาซโล คราซนาฮอร์ไค ได้ลงมืองเขียนงานอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเดิมเจ้าตัวจะวางแผนเขียนเพียงเล่มเดียวก็ตาม แต่เขากล่าวว่าหลังอ่าน Satantango แล้ว เขาก็อยากปรับปรุงการเขียนด้วยหนังสืออีกเล่มพร้อมบอกว่า “ชีวิตผมเป็นการแก้ไขอย่างถาวร”

ลาซโล คราซนาฮอร์ไค

The Melancholy of Resistance (1989) นวนิยายลำดับที่ 2 ของเขาทำให้นักวิจารณ์ชาวอเมริกัน Susan Sontag ขนานนามเขาว่าเป็น ปรมาจารย์แห่งวันสิ้นโลก ของวรรณกรรมร่วมสมัย กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ กลางหุบเขา Carpathian ที่มีคณะละครสัตว์ปริศนาเข้ามาพร้อมนำซากวาฬยักษ์เป็นสิ่งดึงดูด ปลุกให้เกิดความรุนแรง การก่อวินาศกรรม และความเป็นไปได้ของการยึดอำนาจแบบเผด็จการ

Swedish Academy กล่าวถึง The Melancholy of Resistance ไว่ว่า ผู้เขียนได้บรรยายการต่อสู้อันโหดร้ายระหว่างความเป็นระเบียบและความโกลาหลได้อย่างเชี่ยวชาญ ไม่มีใครหนีพ้นผลกระทบของความหวาดกลัว ซึ่งในผลงานต่อมาเขาก็ได้หันทิศทางงานเขียนไปทางโลกตะวันออก โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางไปจีนและญี่ปุ่น โดยในงานเขียนของเขามักมีการใช้น้ำเสียงที่ “ใคร่ครวญและละเอียดอ่อนมากขึ้น” ตามคำกล่าวของคณะกรรมการโนเบล

Seiobo There Below (2008) คือผลงานชิ้นเอกอีกเล่ม ประกอบด้วย 17 เรื่องสั้นที่เรียงตามลำดับฟีโบนัชชี (Fibonacci) พาผู้อ่านสำรวจบทบาทของความงามและการสร้างสรรค์ศิลปะในโลกแห่งความมืดบอดและความไม่เที่ยง ฉากเปิดเรื่องที่น่าจดจำคือนกกระสาขาวหิมะยืนนิ่งกลางแม่น้ำ Kamo ในเกียวโต รอเหยื่อในน้ำวน สื่อถึงภาพลักษณ์ที่ลวงตาของสถานการณ์เฉพาะของศิลปิน

โนเบลวรรณกรรม
War & War (1999)

สำหรับผลงานอื่นๆ ได้แก่ War & War (1999) เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่จดหมายเหตุผู้ต่ำต้อยเดินทางจากบูดาเปสต์ไปนิวยอร์ก Baron Wenckheim’s Homecoming (2016) เล่มนี้ได้รื้อฟื้น “คนโง่” ของ Dostoyevsky เป็นบารอนที่หลงใหลและติดการพนัน และ Herscht 07769 (2021) ที่บรรยายเมืองเล็กๆ ใน Thüringen ประเทศเยอรมนี ซึ่งเผชิญกับความโกลาหลทางสังคม การฆาตกรรมและการวางเพลิง ท่ามกลางมรดกอันทรงพลังของ Johann Sebastian Bach และนวนิยายล่าสุดที่ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษคือ Herscht 07769 (2024) ซึ่งเขียนเป็นประโยคเดียวยาว 400 หน้า และมีเครื่องหมายจุดที่หมายถึงการสิ้นสุดประโยคเพียงจุดเดียว

โนเบลวรรณกรรม

ศิลปะท่ามกลางความมืดมน

ลาซโล คราซนาฮอร์ไค ไม่ชอบถูกจัดวางว่าเป็นนักเขียนการเมือง เขากล่าวกับ The New York Times ในปี 2014 ว่า “การต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ของผมไม่ใช่เรื่องการเมือง มันต่อต้านสังคม” แต่ผลงานของเขามักมีการวิจารณ์ระบอบเผด็จการ เขายังเคยวิจารณ์นายกรัฐมนตรีฮังการี Viktor Orbán อย่างรุนแรง เรียกรัฐบาลว่าเป็น “กรณีทางจิตเวช” เพราะจุดยืนเรื่องสงครามยูเครน และเมื่อถูกถามกลับว่าประเทศจะเป็นกลางได้อย่างไรเมื่อรัสเซียบุกประเทศเพื่อนบ้าน ตัวเขาเองก็ไม่เคยเกรงกลัวที่จะตอบ

Ottilie Mulzet ผู้แปลหนังสือของเขากว่า 6 เล่ม กล่าวว่า “เขากล้าหาญมากที่แสดงจุดยืนว่าไม่พอใจ Viktor Orbán” ส่วน Viktor Orbán ได้แสดงความยินดีกับ ลาซโล คราซนาฮอร์ไค ว่า “นำความภาคภูมิใจมาสู่ชาติ” โดย Viktor Orbán เคยวิจารณ์สไตล์งานของ ลาซโล คราซนาฮอร์ไค กับ The Guardian ในปี 2015 ว่า “ตัวอักษร จากตัวอักษรเป็นคำ จากคำเป็นประโยคสั้นๆ แล้วประโยคที่ยาวขึ้น และส่วนใหญ่เป็นประโยคยาวมาก เป็นเวลา 35 ปี ความงามในภาษา ความสนุกในนรก”

และเมื่อถามถึงแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลาซโล คราซนาฮอร์ไค ในการเขียนงาน เขาบอกกับเว็บไซต์โนเบลไว้ว่า คือ “ความขมขื่น ผมเศร้ามากเมื่อคิดถึงสถานะของโลกตอนนี้ และนี่คือแรงบันดาลใจที่ลึกที่สุด”

โนเบลวรรณกรรม
บรรยากาศในงาน Man Booker International Prize

มรดกทางวรรณกรรม

ก่อนได้รับรางวัลโนเบล ลาซโล คราซนาฮอร์ไค ได้รับการยอมรับมาแล้วหลายครั้ง รวมถึง Man Booker International Prize ในปี 2015 และ National Book Award ของสหรัฐอเมริกาในปี 2019 โดยนักเขียน Colm Tóibín บรรยายถึงลาซโล คราซนาฮอร์ไค เขาว่า “วิสัยทัศน์ทางวรรณกรรมที่ไม่เหมือนใคร เปิดพื้นที่อันกว้างใหญ่ในนวนิยายร่วมสมัย แสดงให้เห็นว่าทำอะไรได้บ้าง” ส่วนนักเขียน Hari Kunzru กล่าวว่า “เขามีชื่อเสียงว่าเป็นบุคคลที่เข้มงวดของวัฒนธรรมชั้นสูงยุโรป และผลงานบางส่วนมืดมนและยากจริงๆ แต่เขายังเป็นนักเขียนที่อยากรู้ ขี้เล่น และตลกมาก เมื่อผมอ่านหนังสือเขา ผมรู้สึกเข้มแข็งขึ้น และในฐานะมนุษย์และคนที่พยายามสร้างศิลปะ เขาแสดงให้ผมเห็นถึงสิ่งที่เป็นไปได้”

โนเบลวรรณกรรม
ภาพ : © László Krasznahorkai

Barbara Epler ผู้จัดพิมพ์ของ New Directions ซึ่งตีพิมพ์หนังสือของเขากว่า 12 เล่ม กล่าวว่าสิ่งที่น่าทึ่งในงานของ ลาซโล คราซนาฮอร์ไค คือ “องค์ประกอบที่ต่อต้านแรงโน้มถ่ว โดยความมืดมนทั้งหมดนี้มันมีความตลกขบขันแบบเรียบๆ ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”

สำหรับผู้อ่านใหม่ที่อาจจะเพิ่งรู้จักงานของเขาจากการประกาศ โนเบลวรรณกรรม ลาซโล คราซนาฮอร์ไค ให้คำแนะนำในการอ่านงานของเขาว่า

“ผมไม่อยากแนะนำให้อ่านอะไร แต่จะแนะนำให้ออกไปข้างนอก นั่งลงสักแห่ง อาจจะข้างลำธาร ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องคิดอะไร เพียงนั่งเงียบเหมือนก้อนหิน ในที่สุดพวกเขาจะพบใครสักคนที่อ่านหนังสือผมแล้ว”

อ้างอิง


Author

นงลักษณ์ อัจนปัญญา
สาวหมวยตอนปลาย ผู้รักการอ่าน ชอบการเขียน สนใจเหตุบ้านการเมืองในต่างแดน และกำลังอยู่ในช่วงการฝึกฝนสายวีแกน