ราชรถ ราชยาน : จริงหรือที่ราชรถต้องไม่ซ่อมเตรียมไว้ ประตูโรงเก็บต้องไม่เปิด ทางนำออกสู่ถนนต้องไม่สร้างถาวร
- ราชรถ ราชยาน เป็นหนึ่งในเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ใช้ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ/พระศพ ตามโบราณราชประเพณี
- ราชรถ ราชยาน และเครื่องประกอบในพิธีพระบรมศพ/พระศพ ที่สำคัญ ปัจจุบันเก็บรักษาที่ โรงราชรถ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
- การนำราชรถและราชยานไปบูรณะและตกแต่งเพื่อเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพต้องทำถนนลาดยางชั่วคราวและทุบกำแพงพิพิธภัณฑสถานบางส่วนเพื่อนำทางออกสู่ถนนใหญ่
ย้อนกลับไปในการเตรียมพระราชพิธีพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ใน พ.ศ.2560 หนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการนำ ราชรถ ราชยาน ซึ่งเก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ภายใน โรงราชรถ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มาบูรณะและตกแต่งให้สง่างามสมพระเกียรติสำหรับใช้ในริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ แต่การที่จะนำ ราชรถ ราชยาน ออกไปนั้นต้องทำถนนลาดยางชั่วคราวจากหน้า โรงราชรถ ไปถึงกำแพงของพิพิธภัณฑสถานและทุบกำแพงบางส่วนเพื่อนำ ราชรถ ราชยาน ออกสู่ถนนหน้าพระธาตุ


ครั้นเมื่อเสร็จสิ้นพระราชพิธีและนำ ราชรถ ราชยาน มาเก็บรักษาไว้ที่โรงราชรถตามเดิม ทางลาดยางได้ถูกรื้อถอนและก่ออิฐก่อสร้างกำแพงขึ้นมาใหม่ ประเด็นนี้จึงเกิดความเชื่อว่าที่ด้านหน้าโรงราชรถไม่ทำถนนถาวรและเมื่อจะใช้งานแต่ละครั้งต้องก่อทางลาดยางใหม่และทุบกำแพงพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นเคล็ดไม่ให้ต้องนำราชรถออกไปใช้ในงานอวมงคลอีก
ยุทธนาวรากร แสงอร่าม ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ไขความจริงในประเด็นนี้ว่า “ความจริงแล้วจากแผนผังของพิพิธภัณฑ์ในสมัยรัชกาลที่ 7 ปรากฏอย่างชัดเจนว่ามีถนนและประตูสำหรับอัญเชิญราชรถออก อย่างไรก็ดีในสมัยรัชกาลที่ 9 การอัญเชิญราชรถออกการถวายพระเพลิงพระบรมศพหรือพระราชทานเพลิงพระศพพระบรมวงศ์ชั้นสูงนั้นมีเพียง 6 ครั้ง คือ พระบรมศพรัชกาลที่ 8 ในปี 2493 สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าในปี 2499 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีในปี 2528 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีในปี 2539 สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ในปี 2551 และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาในปี 2555 ดังนั้นจาก พ.ศ. 2499 ถึง พ.ศ. 2528 จะเห็นว่าการพระราชพิธีห่างกันเกือบ 30 ปี พื้นที่ด้านหน้าโรงราชรถจึงถูกปรับใช้สำหรับงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ หรือการแสดงสังคีตศาลา ดังนั้นถนนและประตูจึงหายไปจนก่อให้เกิดวาทกรรมดังที่กล่าวมา”

ส่วนประตูโรงราชรถบานใหญ่สูงจดหลังคา ปกติจะไม่เปิด เพราะหากมีการเปิดอาจสร้างนัยให้คนทั่วไปตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นและอาจจะมองเป็นเรื่องที่ไม่ดี “ราชรถ ราชยาน จะไม่มีการนำไปซ่อมเตรียมไว้ เพราะจะเป็นลางไม่ดี ส่วนประตูโรงราชรถมีขั้นตอนการเปิดหลายอย่าง เช่น ตรงประตูมีท่อดับเพลิงขวางอยู่ต้องถอดออกก่อน และทางขวามีตัวกว้านไขและหมุนทำให้ประตูยกขึ้น และมีธรณีประตูกันน้ำเวลาฝนตก เมื่อจะนำราชรถออกต้องทุบธรณีประตูที่ทำจากปูนออก” ยุทธนาวรากร กล่าวเสริม

(ภาพ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร)
อย่างไรก็ตามประตูโรงราชรถจะต้องถูกเปิดอีกครั้ง พร้อมกับบริเวณด้านหน้าของโรงราชรถจะต้องมีการทำถนนลาดยางและทุบกำแพงเพื่อเชิญ ราชรถ ราชยาน ไปบูรณะและตกแต่งให้สวยงามสมพระเกียรติสำหรับการเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งสวรรคตเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ยุทธนาวรากร ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในอดีตโรงราชรถอยู่ในความดูแลของกรมพระตำรวจและตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) เพราะเป็นเส้นทางขบวนแห่ไปยังท้องสนามหลวงซึ่งเป็นที่ตั้งของพระเมรุมาศ แต่หลังจากที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลองค์สุดท้ายคือ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ หรือวังหน้าในรัชกาลที่ 5 ทิวงคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศยกเลิกตำแหน่ง “กรมพระราชวังบวรสถานมงคล” เมื่อ พ.ศ.2428 และโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาตำแหน่ง “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร” ขึ้นแทนและสืบมาตราบจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เช่น เขตพระราชฐานชั้นกลางให้จัดเป็น “พิพิธภัณฑสถาน” ที่ย้ายมาจาก “มิวเซียมหลวง” ในพระบรมมหาราชวัง จนกระทั่งในสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานหมู่พระที่นั่งอื่นๆ ในวังหน้าจัดตั้งเป็น “พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร” เมื่อ พ.ศ.2469 และเปลี่ยนชื่อเป็น “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร” ในเวลาต่อมา


“ในปี 2430 รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายหอมิวเซียมหลวงในพระบรมมหาราชวังมาจัดแสดงที่วังหน้า และมีบันทึกของชาวต่างชาติที่เคยมาเยี่ยมชมว่ามีอาคารที่เก็บรักษาราชรถที่นี่ด้วย ดังนั้นราชรถเคยถูกเคลื่อนย้ายมาที่วังหน้าและมีการสร้างโรงราชรถประมาณปี 2440 กว่า แต่ไม่ใช่ตำแหน่งที่เห็นในปัจจุบัน จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 7 จึงมีการสร้างโรงราชรถหลังใหม่ในปี 2472 ในบริเวณที่ตั้งปัจจุบัน แต่จะยื่นไปด้านหน้าใกล้ถนนมากกว่า”
ปัจจุบันโรงราชรถเก็บรักษาและจัดแสดงราชรถ 5 องค์ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 โดยมี พระมหาพิชัยราชรถ เป็นราชรถที่มีความสำคัญสูงสุดในการใช้ประดิษฐานพระบรมโกศพระมหากษัตริย์และพระโกศพระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้รับพระราชทานเศวตฉัตร 7ชั้น รวมไปถึง เวชยันตราชรถ ที่ใช้เป็นราชรถสำรองหากพระมหาพิชัยราชรถชำรุด หรือสำหรับทรงพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระอิสริยยศรองลงมา และ ราชรถน้อย อีก 3 องค์ที่ใช้เป็นรถพระนำสวดพระอภิธรรม รถโปรยข้าวตอกดอกไม้ และรถโยงพระภูษา

นอกจากนี้ยังมีราชยานที่สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 2 เช่น พระยานมาศสามลำคาน และ เกรินบันไดนาค ที่เป็นอุปกรณ์เชิญพระบรมโกศขึ้นและลงจากพระมหาพิชัยราชรถ รวมไปถึงเครื่องประกอบในการพระราชพิธีพระบรมศพและพระศพ เช่น พระโกศจันทน์ ทรงพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่า และที่สำคัญคือ พระจิตกาธาน (เชิงตะกอนหรือฐานที่ทำขึ้นสำหรับเผาศพ) พระโกศจันทน์และพระหีบจันทน์ ฉากบังเพลิง เทวดานั่งและยืนประกอบพระเมรุมาศ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 9 เมื่อพ.ศ.2560 และราชรถปืนใหญ่ ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่เพื่อเชิญพระบรมโกศเวียนอุตราวัฏ (เวียนซ้าย) รอบพระเมรุมาศ 3 รอบ ก่อนขึ้นสู่พระเมรุมาศในพระราชพิธีครั้งนั้น

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้ประกาศปิดให้บริการเข้าชมโรงราชรถตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไปจนกว่าการพระราชพิธีจะแล้วเสร็จ Sarakadee Lite จึงขอนำ ราชรถ ราชยาน และเครื่องประกอบในการพระราชพิธีพระบรมศพและพระศพที่สำคัญบางส่วนมาให้ชมกัน

พระมหาพิชัยราชรถ
ยุทธนาวรากร แสงอร่าม ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กล่าวว่า รูปแบบของราชรถทั้ง 5 องค์ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 และเก็บรักษาใน โรงราชรถ เป็นราชรถทรงบุษบกทั้งหมดที่สร้างตามรูปแบบธรรมเนียมโบราณราชประเพณีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และมีรูปทรงคล้ายกับเรือโดยมีการตีความว่าเปรียบเสมือนพาหนะที่นำพาไปสู่อีกภพภูมิหนึ่งหรือสวรรค์

พระมหาพิชัยราชรถ เป็นราชรถที่มีขนาดใหญ่ที่สุดโดยมีขนาดกว้าง 4.85 เมตร ความยาวรวมงอนรถ 18 เมตร สูง 11.20 เมตร น้ำหนัก 13.70 ตัน ทำด้วยไม้แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจกตกแต่งด้วยชั้นเกรินประดับกระหนกเศียรนาค กระหนกท้ายเกริน และรูปเทพนมโดยรอบ มีการใช้งานครั้งแรกเพื่ออัญเชิญพระโกศพระอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี) ออกพระเมรุเมื่อ พ.ศ.2339 ต่อมาใช้อัญเชิญพระบรมโกศพระมหากษัตริย์และพระโกศพระบรมวงศ์จนถึงปัจจุบัน และครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2560 ในการอัญเชิญพระบรมโกศรัชกาลที่ 9


“ในการประดับตกแต่งด้วยเศียรนาคมีการตีความว่าเปรียบดั่งสะพานสายรุ้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จึงเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์และโลกสวรรค์ ด้านล่างของพระมหาพิชัยราชรถตกแต่งด้วยลายดอกไม้ร่วงคือดอกไม้ที่ร่วงจากสวรรค์จึงตีความว่าราชรถนี้เหาะอยู่บนท้องฟ้า เป็นราชรถของพระอินทร์ที่มีม้าเทียมเหาะไปในอากาศ นอกจากนี้จำนวนพลชักลากมีหลักฐานว่าในงานพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ใช้กำลังพลฉุดชัก 100 คน แต่ในงานพระบรมศพรัชกาลที่ 9 มีจำนวนเพิ่มขึ้นโดยใช้พลชักลากข้างหน้ามี 4 สายสายละ 43 คน ด้านหลังมี 2 สายสายละ 22 คน รวมทั้งหมด 216 คน ซึ่งหมายถึงการถวายพระเกียรติยศขั้นสูงสุด”

พระมหาพิชัยราชรถ มีการปรับปรุงระบบล้อและเพลาโดยวิศวกรชาวต่างชาติในสมัยรัชกาลที่ 6 และมีการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 9 เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ใน พ.ศ. 2539 โดยมีการเสริมโครงสร้างไม้และลวดลายในส่วนที่ชำรุด ปิดทองในส่วนที่ชำรุด ประดับกระจกใหม่ จัดสร้างฉัตร ธงงอนราชรถ และผ้าวิสูตรใหม่ และในงานพระบรมศพของรัชกาลที่ 9 มีการเปลี่ยนเสาบุษบกใหม่ทั้งหมด

เวชยันตราชรถ
เวชยันตราชรถมีขนาดใกล้เคียงกับพระมหาพิชัยราชรถโดยมีขนาดกว้าง 4.90 เมตร ยาว 17.50 เมตร สูง 11.70 เมตร และหนัก 12.25 ตัน เพื่อใช้เป็นราชรถสำรอง หรือใช้เป็นราชรถสำหรับทรงพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระอิสริยศักดิ์รองลงมา และมีการใช้งานครั้งแรกในการอัญเชิญพระโกศสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ใน พ.ศ.2343
“ในสมัยโบราณถนนบางส่วนเป็นดินอาจมีเหตุทำให้ตัวรถติดหล่มได้ ดังนั้นจึงต้องมีการสร้างราชรถเพื่อสำรองเหตุไว้ และมีเกร็ดเพิ่มเติมว่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 เป็นต้นมาจนถึงปี 2530 โดยประมาณ พระมหาพิชัยราชรถชำรุดไม่สามารถใช้การได้ การอัญเชิญพระบรมศพรัชกาลที่ 8 (ปี 2493) พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (ปี 2499) และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี (ปี 2528) ทััง 3 งานจึงใช้เวชยันตราชรถแทน แต่ในหมายสั่งให้เรียกว่าพระมหาพิชัยราชรถ แต่หลังจากนั้นใช้พระมหาพิชัยราชรถมาโดยตลอด” ยุทธนาวรากรกล่าว

ราชรถน้อย
ราชรถน้อยทั้ง 3 องค์มีลักษณะเป็นราชรถทรงบุษบกและขนาดเล็กกว่าพระมหาพิชัยราชรถและเวชยันตราชรถ องค์แรกใช้เป็น “รถพระนำ” อ่านพระอภิธรรมนำขบวน องค์ที่ 2 เรียกอย่างย่อว่า “รถโยง” สำหรับโยงพระภูษาโยงจากพระบรมโกศที่ประดิษฐานอยู่บนพระมหาพิชัยราชรถ องค์สุดท้ายสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ผู้เยาว์ประทับเพื่อทรงโปรยทานพระราชทานแก่ประชาชนที่มาเฝ้ากราบพระบรมศพตามทางสู่พระเมรุมาศจึงเรียกอย่างย่อว่า “รถโปรย” แต่ในปัจจุบันใช้เพียงรถพระนำ เช่นในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 9 มีสมเด็จพระราชาคณะนั่งบนราชรถน้อยนำหน้าพระมหาพิชัยราชรถเพื่อเคลื่อนขบวนสู่พระเมรุมาศ ณ ท้องสนามหลวง

“ราชรถน้อยทั้ง 3 องค์ มีขนาดต่างกัน คือ มีองค์ใหญ่และองค์ขนาดใกล้เคียงอีก 2 องค์ ในแต่ละคราวมีการใช้ราชรถที่แตกต่างกันไป เนื่องจากระยะเวลาในการบูรณะมีจำกัดจะใช้ทุกองค์พร้อมกันคงจะเป็นไปได้ยากจึงพยายามหมุนเวียนใช้ โดยปกติมักใช้องค์ใหญ่เป็นรถภูษาโยงเนื่องจากมีขนาดสูงรองจากพระมหาพิชัยราชรถ แต่ในบางกรณีถ้าพระสงฆ์อ่านพระอภิธรรมเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า คือเป็นพระสังฆราชที่เป็นพระบรมวงศ์ก็จะใช้ราชรถน้อยองค์ใหญ่เป็นรถพระนำ ทั้งนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามแต่ละโอกาส”

พระยานมาศสามลำคาน
นอกจากราชรถ 5 องค์ทรงบุษบกที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 แล้ว โรงราชรถยังเก็บรักษาและจัดแสดงราชยานที่ใช้ในริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมโกศอีกด้วย เช่น พระยานมาศสามลำคาน ที่เป็นราชยานทำด้วยไม้จำหลักลวดลาย ลงรักปิดทอง และสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยมีการใช้งานครั้งแรกเพื่ออัญเชิญพระบรมโกศของรัชกาลที่ 1 จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ไปประดิษฐานบนพระมหาพิชัยราชรถซึ่งจอดเทียบรออยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) และใช้อัญเชิญพระบรมโกศจากพระมหาพิชัยราชรถเวียนอุตราวัฏรอบพระเมรุมาศ ณ ท้องสนามหลวงอีกครั้งหนึ่ง

เกรินบันไดนาค
เกรินบันไดนาคใช้เชื่อมต่อจากพระยานมาศสามลำคานในการอัญเชิญพระบรมโกศขึ้นหรือลงจากพระมหาพิชัยราชรถแทนการใช้นั่งร้านไม้ต่อยกสูงแบบสมัยโบราณที่ต้องใช้กำลังคนยกขึ้นลงจนเกิดความยากลำบาก อุปกรณ์นี้ประดิษฐ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี (จุ้ย) และใช้ครั้งแรกในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ.2355
เกรินมีลักษณะเป็นแท่นสี่เหลี่ยม ขอบฐานแกะสลักลาย ปิดทองประดับกระจก ท้ายเกรินมีลักษณะคล้ายท้ายสำเภา เป็นพื้นลดระดับลงมาซึ่งเป็นที่สำหรับเจ้าพนักงานภูษามาลาขึ้นนั่งประคองพระบรมโกศ ด้านข้างบุผ้าตาดทอง มีราวทั้งสองข้างตกแต่งเป็นรูปพญานาค จึงเรียกว่าเกรินบันไดนาค

ราชรถปืนใหญ่
ราชรถปืนใหญ่ที่เก็บรักษาและจัดแสดงในโรงราชรถเป็นองค์ใหม่ที่รัชกาลที่ 10 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นแทนองค์เดิมที่ชำรุดเพื่ออัญเชิญพระบรมโกศของรัชกาลที่ 9 โดยถอดแบบจากราชรถปืนใหญ่ที่ทรงพระบรมโกศรัชกาลที่ 8
“ราชรถปืนใหญ่ใช้อัญเชิญพระบรมโกศ/พระโกศ เจ้านายที่มียศทางทหารในการเวียนรอบพระเมรุมาศ/พระเมรุ แทนการใช้พระยานมาศสามลำคาน ขนบธรรมเนียมนี้เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 และมีการสร้างราชรถปืนใหญ่ขึ้นมาหลายองค์อ้างอิงจากภาพถ่ายเก่า ด้านท้ายของหมู่พระวิมานในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มีราชรถปืนใหญ่เก็บรักษาอยู่องค์หนึ่งที่สร้างขึ้นในงานพระศพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ”
ราชรถปืนใหญ่ใช้ครั้งแรกในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เมื่อ พ.ศ.2459 และเคยใช้ทรงพระบรมโกศพระมหากษัตริย์ 3 ครั้ง คือ งานพระบรมศพรัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ.2469 งานพระบรมศพรัชกาลที่ 8 เมื่อ พ.ศ.2493 และงานพระบรมศพรัชกาลที่ 9 เมื่อพ.ศ.2560
อ้างอิง
- คู่มือสื่อมวลชน งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เผยแพร่ครั้งแรกเดือนตุลาคม พ.ศ. 2560
- ราชรถ ราชยาน ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยกรมศิลปากร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2559