อาบป่า ห่มหมอก ฮีลใจ “เส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุย” ป่าหลังบ้านในนิเวศประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่
- ผืนป่าดอยสุเทพ-ปุย เป็นผืนป่าแห่งแรกๆ ในประเทศไทยที่มีนักพฤกษศาสตร์ต่างชาติเดินทางมาศึกษาตั้งแต่เมื่อ 100 กว่าปีก่อน พร้อมค้นพบสัตว์ แมลง พืชเฉพาะถิ่นสกุลดอยสุเทพอีกจำนวนมาก
- บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group โดย มูลนิธิไทยรักษ์ป่า จับมือกับ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปรับปรุง “เส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุย”
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้จัก “พระธาตุดอยสุเทพ” แลนด์มาร์กของเมืองเชียงใหม่เป็นอย่างดี แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเพียงเดิน ปั่นจักรยาน หรือต่อรถจากวัดพระบรมธาตุฯ ขึ้นดอยสุเทพไปอีกไม่ไกล เราจะสามารถเจอพรรณไม้ป่าหายากอย่างมณฑาดอย กระโถนฤาษี ขนุนดิน ทั้งยังได้พบเส้นทางสีมรกตที่ปกคลุมด้วยพรมมอสนุ่มๆ ได้ยินเสียงนกพื้นถิ่น ได้เห็นต้นไม้ใส่เสื้ออุ่นๆ กลางป่าหมอก รวมทั้งสามารถกางเต็นท์นอนชมทะเลดาวบนดินระยิบระยับ และตื่นมาอาบแสงแรกกับวิวพระอาทิตย์ขึ้นกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามาอยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่มากๆ ณ เส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุย ป่าริมขอบเมืองที่มีความสมบูรณ์และความสำคัญระดับชาติ



ผืนป่าดอยสุเทพ-ปุยเป็นผืนป่าแห่งแรกๆ ในประเทศไทยที่มีนักพฤกษศาสตร์ต่างชาติเดินทางมาศึกษาตั้งแต่เมื่อ 100 กว่าปีก่อน พร้อมค้นพบสัตว์ แมลง พืชเฉพาะถิ่นสกุลดอยสุเทพอีกจำนวนมาก และถ้าย้อนไปไกลกว่านั้น ที่นี่คือผืนป่าที่มีร่องรอยของประวัติศาสตร์ ความเชื่อจากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ และด้วยคุณค่าหลากหลายมิติของผืนป่าใกล้เมืองเชียงใหม่แห่งนี้นี่เองที่เป็นแรงผลักดันให้ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group โดย มูลนิธิไทยรักษ์ป่า องค์กรสาธารณกุศลซึ่งก่อตั้งและสนับสนุนการดำเนินงานโดย EGCO Group เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าต้นน้ำที่สำคัญของประเทศ จับมือกับ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปรับปรุง “เส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุย”

การออกแบบเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุยใหม่ แบ่งออกเป็น 3 เส้นทางย่อย ครอบคลุมทั้งเส้นทางสำหรับนักดูนก เส้นทางเดินป่าระยะสั้นเพื่อการเรียนรู้เรื่องพืชพรรณของป่าดิบเขาภาคเหนือ ไปจนถึงเส้นทางเดินป่าระยะไกลที่เพิ่มความ ท้าทายเชื่อมจากยอดดอยปุยสู่ชุมชนขุนช่างเคี่ยน ทำให้เส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุย เป็น “เส้นทางฯ ป่าหลังบ้านของเมืองเชียงใหม่” ที่ไม่ว่าใครก็เข้ามาสัมผัสได้ มีระยะทางไป-กลับประมาณ 5 – 8 กิโลเมตร เลือกระยะเวลาเดินเท้าได้ตั้งแต่ 2.5 – 5 ชั่วโมง


“คนที่ชอบธรรมชาติ ชอบเดินป่าก็อาจจะมีหลายเฉดสี สีเขียวอ่อน ไปจนถึงเขียวเข้ม บางคนก็อาจจะไม่ได้ต้องการเดินป่าที่ใช้ทักษะมาก แค่อยากมาฮีลใจในเส้นทางที่เดินง่ายๆ ซึ่งนี่คือโจทย์ในการออกแบบเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุยที่แบ่งออกเป็น 3 เส้นทางย่อย ข้อดีของเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุยคือ ที่นี่เป็นป่าสมบูรณ์ที่อยู่ติดเมือง ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงครึ่ง จากตัวเมืองเชียงใหม่ก็จะสามารถสัมผัสกับผืนป่าที่สมบูรณ์และมีระบบนิเวศที่แตกต่างกันไปในแต่ละเส้นทางได้แล้ว ในส่วนของพื้นที่อุทยานฯ ก็รองรับทั้งกลุ่มวิ่งเทรล จักรยาน กางเต็นท์ มีชุมชนโดยรอบที่อยู่อาศัยและเป็นหนึ่งในกระบวนการดูแลป่า ในแง่พื้นที่ดอยสุเทพเองก็มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมที่ย้อนไปได้เป็นร้อยปี เรียกว่าเป็นป่าที่มีความเป็น “นิเวศประวัติศาสตร์” ให้ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ควบคู่ไปกับเรื่องพืชพรรณและสัตว์ประจำถิ่นต่างๆ อย่างครบมาก”

มานนีย์ พาทยาชีวะ เลขาธิการมูลนิธิไทยรักษ์ป่า เล่าถึงศักยภาพของเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุย ที่แม้จะเป็นป่าหลังบ้านใกล้เขตเมืองที่เดินทางราว 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น แต่กลับมีความหลากหลายให้ได้ศึกษา รวมทั้งเป็นป่าต้นน้ำสำคัญของเชียงใหม่ ซึ่งที่ผ่านมา EGCO Group โดย มูลนิธิไทยรักษ์ป่า ได้ร่วมกับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทำการสำรวจ พัฒนา และปรับปรุงเส้นทางศึกษาธรรมชาติบริเวณป่าต้นน้ำที่สำคัญของประเทศมาแล้ว 10 แห่ง ทั้งในพื้นที่เชียงใหม่ ชัยภูมิ และนครศรีธรรมราช โดยมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเส้นทางที่ 11 ชูจุดเด่นเรื่องแหล่งเรียนรู้นิเวศประวัติศาสตร์ที่เข้าถึงง่าย มีการสร้างป้ายสื่อความหมายธรรมชาติที่กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมตลอดแนวเส้นทางรวม 24 ป้ายรวมถึงจัดทำ Trail Head 4 จุด ระเบียงชมวิว 3 จุด และได้ส่งมอบเส้นทางฯ ให้กับกรมอุทยานฯ ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้

ป่าดิบเขาหลังบ้าน คลังแห่งพืชพรรณของประเทศ
เรื่องราวความสมบูรณ์ทางธรรมชาติบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุยถูกค้นพบเมื่อ 100 กว่าปีก่อน ครั้งที่ “หมอคาร์” หรือ “ดร.อาเธอร์ คาร์” นักพฤกษศาสตร์ชาวไอริชได้เข้ามาบุกเบิกสำรวจพรรณไม้บนดอยสุเทพต่อเนื่องมาถึงยอดดอยปุย ครั้งนั้นหมอคาร์ได้เก็บรวบรวมตัวอย่างพรรณไม้บนดอยสุเทพได้มากถึง 25,000 หมายเลข ความน่าตื่นเต้นคือต้นไม้หลายชนิดไม่เคยพบเจอจากแหล่งใดในโลกมาก่อน ทำให้พรรณพืชหลายชนิดได้รับการแจ้งเกิด อีกทั้งยังมีการจดชื่อพรรณพืชและแมลงที่ค้นพบบนดอยสุเทพ-ปุย เป็นสกุล Suthepensis ที่แปลว่า “แห่งดอยสุเทพ” เพื่อให้เกียรติสถานที่ในการค้นพบพืชพรรณ และแมลงเหล่านั้น โดยสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ที่ใช้สกุลดอยสุเทพต่อท้ายนั้นมีไม่ต่ำกว่า 40 ชนิดพันธุ์ เช่น เอื้องนิ่มดอยสุเทพ (Pinnalia suthepensis) ผึ้งกาเหว่าพเนจรสุเทพ (Nomada suthepensis) ข้าวสารสุเทพ (Chionanthus suthepensis) ไม่รวมกล้วยไม้บนดอยสุเทพอีกราว 7 ชนิดพันธุ์ ที่เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวที่จะไม่พบในถิ่นอื่นอีกเลย สะท้อนความพิเศษของพื้นที่ดอยสุเทพ-ปุย และทำให้ยุคทองของการสำรวจพืชพรรณไม้ในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นที่ดอยสุเทพ-ปุย แห่งนี้

ดอยศักดิ์สิทธิ์ ป่าวิเศษ และเรื่องราวของ “นิเวศประวัติศาสตร์”
นอกจากความหลากหลายของพืชพรรณ ดอยสุเทพ-ปุย ยังเป็นพื้นที่ต้นน้ำชั้นหนึ่ง (Watershed Class 1A-1B) ตามการจำแนกของกรมป่าไม้ที่โดดเด่นด้วยการผสมผสานเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเชื่อ เชื่อมโยงเข้ากับระบบการดูแลผืนป่าที่สืบกันมายาวนาน โดยถ้าย้อนไปในสมัยที่ชาวลัวะมีอิทธิพลในแถบนี้ ดอยสุเทพคือภูเขาที่สถิตย์ของวิญญาณบรรพบุรุษชาวลัวะ อีกทั้งชื่อดอยสุเทพยังมาจากตำนาน “สุเทวฤาษี” ที่ชาวลัวะนับถือ

ครั้นเมื่อศาสนาพุทธเข้ามาก็ได้มีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ขึ้นบนยอดดอย ให้ดอยสุเทพเป็นเหมือนแกนกลางจักรวาลเทียบได้กับเขาพระสุเมรุ ยิ่งในสมัยครูบาศรีวิชัยซึ่งมีการสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพก็ยิ่งทำให้ยอดดอยแห่งนี้และผืนป่าโดยรอบกลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเชียงใหม่ต่างช่วยกันดูแลรักษา หรืออย่างเส้นทางเดินป่าหลายเส้นก็คือร่องรอยเส้นทางของผู้คนโบราณที่เดินเท้าขึ้นไปแสวงบุญนั่นเอง อีกทั้งชายป่ายังมีชาติพันธุ์ต่างๆ อาศัยอยู่ รวมทั้งการสร้างพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เป็นที่ประทับในฤดูหนาวของพระมหากษัตริย์ ทั้งหมดทำให้ผืนป่าดอยสุเทพ-ปุยเป็นป่าที่มี “นิเวศประวัติศาสตร์” ให้ได้ศึกษาซ้อนทับอยู่ตลอดเส้นทาง

เส้นทางที่ 1 ยอดดอยปุย-ดอยหัวหมู “ตามหาสิ่งมีชีวิตสกุลดอยสุเทพ”
ผืนป่าดอยสุเทพ-ปุยเป็นผืนป่าที่มีความหลากหลายของพืชพรรณ ไล่ระดับเส้นทางจากป่าดิบเขาระดับต่ำไปจนถึงยอดดอยซึ่งแต่ละระดับความสูงก็จะมีการเปลี่ยนแปลงของผืนป่าที่ทึบ โปร่ง ชื้น แห้งต่างกันออกไป ดังนั้นเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุยจึงมีการแบ่งเส้นทางย่อยออกเป็น 3 เส้นทาง แบ่งตามระดับความยากง่ายในการเดินและตามสภาพผืนป่า ไล่ระดับความสูงตั้งแต่ 1,350 – 1,690 เมตร


เริ่มจากเส้นทางที่ 1 เส้นทางฯ ยอดดอยปุย (ยอดดอยปุย – ดอยหัวหมู) เน้นเรื่องราวนิเวศประวัติศาสตร์บนยอดดอยปุย ระยะทางไป-กลับ 4.9 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าไป-กลับประมาณ 3.5 ชั่วโมง เส้นทางนี้ค่อนข้างเดินง่าย มีไม้หมอนวางเป็นบันไดธรรมชาติให้เดินง่ายขึ้นในจุดที่ชัน พร้อมป้ายสื่อความหมายที่เป็นเหมือนไกด์บอกเล่าความสำคัญของต้นไม้ ดอกไม้ แมลง และสภาพผืนป่าในแต่ละจุด รวมทั้งชี้ชวนให้ตามหาสิ่งมีชีวิตสกุลดอยสุเทพ พันธุ์ไม้ท้องถิ่นที่ซ่อนอยู่ระหว่างทาง และปลายทางก็มีพื้นที่จุดชมวิวเมืองเชียงใหม่บริเวณดอยหัวหมูรออยู่ เหมาะกับมือใหม่หัดเดินป่า

เส้นทางที่ 2 มรกต-ดอยหัวหมู “ตาดู หูฟังเสียงนก”
เส้นทางต่อมาคือเส้นทางที่เหมาะอย่างมากสำหรับนักดูนก และเป็นเส้นทางเดินป่าที่จะทำให้เราได้ฟังเสียงป่าและเสียงลมหายใจตัวเองไปพร้อมๆ กัน กับเส้นทางที่ 2 เส้นทางฯ มรกต (มรกต – ดอยหัวหมู) ระยะทางไป-กลับ 4.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินไป-กลับประมาณ 2.5 ชั่วโมง ที่ได้ชื่อว่าเส้นทางมรกตเพราะตัวเส้นทางตัดผ่านป่าดิบเขาที่มีความชื้นทำให้มอสสีเขียวขึ้นปกคลุมเส้นทางในบางจุดคล้ายกับพรมสีเขียวมรกต ยิ่งเมื่อแสงแดดส่องกระทบพื้นในเส้นทางฯ ยิ่งสวยงามมาก

อีกทั้งผืนป่าที่หนาทึบตลอดเส้นทางยังทำหน้าที่เป็นกำแพงเสียง ดูดซับเสียงของเมืองให้เหลือเพียงบทเพลงของป่า ทำให้เส้นทางนี้เหมาะสำหรับการดูนกที่ต้องใช้ความเงียบ โดยหนึ่งในนกที่โดดเด่นคือ “ไก่ฟ้าหลังขาว” ซึ่งเป็นนกพื้นถิ่นของป่าดิบเขาดอยสุเทพ-ปุย และด้วยเสียงของเมืองที่เงียบลงทำให้ระหว่างทางเราจะได้ยินเสียงป่าและเสียงลมหายใจของเราได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางนี้จึงเหมาะสำหรับการเดินป่าเพื่อกลับมาอยู่กับความสงบ และกลับมาฟังเสียงของตัวเองอีกครั้ง

เส้นทางที่ 3 ยอดดอยปุย-ขุนช่างเคี่ยน “วิถีชุมชนม้งผู้ดูแลผืนป่า”
นอกจากมือใหม่หัดเดินป่าแล้ว เส้นทางฯ ยอดดอยปุย ยังมีเส้นทางเดินป่าระยะไกลสำหรับผู้ที่ต้องการความท้าทาย รวมทั้งสายวิ่งเทรล เป็นเส้นทางย่อยที่ 3 เส้นทางฯ ระยะไกล (ยอดดอยปุย – ดอยหัวหมู – บ้านขุนช่างเคี่ยน) ระยะทางไป-กลับ 7.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินไป-กลับประมาณ 5 ชั่วโมง ตัวเส้นทางมีความลาดชันค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ร่างกายแข็งแรง ชอบความท้าทาย และมีทักษะการเดินป่าอยู่บ้าง ตลอดทางจะได้เรียนรู้ทั้งธรรมชาติและวิถีชุมชน เป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อจากจุดชมวิวดอยหัวหมูไปตามแนวกันไฟ และตัดสู่หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน ชุมชนชาวม้งในพื้นที่ป่าดอยสุเทพ-ปุย ซึ่งปัจจุบันที่นี่เป็นจุดชมดอกนางพญาเสือโคร่ง (ซากุระเมืองไทย) ที่ติดอันดับท็อปของเชียงใหม่และของประเทศไปแล้ว แนะนำให้เดินช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ซึ่งจะเป็นช่วงที่ดอกนางพญาเสือโคร่งบานเต็มต้นย้อมเส้นทางให้เป็นสีชมพู เรียกว่าเป็นโบนัสสำหรับนักเดินป่าเลยก็ว่าได้

กางเต็นท์ใต้ทะเลดาวบนฟ้า พร้อมชมดาวบนดินกลางเมืองเชียงใหม่
แม้จะเป็นป่าหลังบ้านใกล้เมืองที่เดินทางแบบไป-กลับได้สะดวกมาก แต่หากมีเวลาเราอยากชวนมาแคมปิงนอนกางเต็นท์ชมทะเลดาวกันต่อที่บริเวณลานกางเต็นท์ ด้านหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานฯ โดยลานกางเต็นท์ของที่นี่จะเป็นลานโล่งมีต้นนางพญาเสือโคร่งโอบล้อม สามารถนอนดูดาวในพื้นที่ฟ้าเปิด ไปพร้อมๆ กับดูแสงดาวบนดินที่ระยิบระยับจากตัวเมืองเชียงใหม่ แถมด้วยการตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น และถ้าใครอยากสัมผัสสายหมอกกลางผืนป่ายามเช้าก็สามารถเดินเข้าไปยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุยได้อีกรอบ สมกับเป็น “เส้นทางฯ ป่าหลังบ้านของเมืองเชียงใหม่” จุดหมายต่อไปที่ห้ามพลาดเมื่อมาเชียงใหม่

Fact File
- เส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยปุย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.00-16.00 น. โทร. 053-210-244 (สำรองเต็นท์พักแรมล่วงหน้า)
- เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางขึ้นอุทยานฯ ไม่แนะนำให้เดินทางด้วยรถยนต์ขนาดเล็กที่ไม่ได้ยกสูง และไม่แนะนำสำหรับคนที่ยังไม่มีประสบการณ์ขับรถขึ้นเขาที่มีความชันและทางแคบ
- นักท่องเที่ยวทั่วไป ผู้ที่ไม่รถยกสูง หรือไม่มีรถส่วนตัว สามารถใช้บริการรถขนส่งสาธารณะท้องถิ่น (รถแดง) ได้บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ ซึ่งราคาขึ้นอยู่กับจำนวนคนและระยะเวลาการเดินทาง เช่น ค้างคืน รอรับกลับ เป็นต้น