100 ปีชาตกาล ท่านกูฏ กับเส้นทางศิลปินของ ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ ที่เริ่มต้นจากโปรเจกต์สุดท้ายของพ่อ
- พบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือท่านกูฏ (พ.ศ. 2468-2525) เป็นศิลปินชั้นครูผู้บุกเบิกจิตรกรรมฝาผนังไทยร่วมสมัยที่ปรากฏทั้งในพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ โรงแรมมณเฑียร โรงแรมดุสิตธานี และโรงแรมอนันตรา สยาม
- โปรเจกต์สุดท้ายและใหญ่สุดของท่านกูฏ คือจิตรกรรมฝาผนังที่โรงแรมอนันตรา สยาม แต่ทำได้เพียงครึ่งทางท่านจากไปเสียก่อน และลูกสาวคือ ภาพตะวัน เป็นผู้สานต่อและเป็นจุดเริ่มต้นอาชีพศิลปินของเธอ
- ในวาระ 100 ปีชาตกาลของท่านกูฏใน พ.ศ.2568 ทางทายาทได้จัดนิทรรศการ The Power of Visualization เพื่อรำลึกและถ่ายทอดแนวคิดและปรัชญาการทำงานของท่านกูฏในด้านต่างๆ
จิตรกรรมฝาผนังประดับโถงล็อบบีและเพดานของ โรงแรมอนันตรา สยาม ที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร เป็นผลงานที่ใหญ่ที่สุดและเป็นโปรเจกต์สุดท้ายในชีวิตของ ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือที่รู้จักกันในนาม ท่านกูฏ (พ.ศ. 2468-2525) ศิลปินชั้นครูผู้บุกเบิกจิตรกรรมฝาผนังไทยร่วมสมัย ที่สร้างสรรค์ในพ.ศ. 2525 ในวาระที่กรุงเทพฯ ครบรอบ 200 ปี แต่ทำได้เพียงครึ่งทางท่านจากไปเสียก่อนด้วยโรคไตวาย ทำให้ลูกสาวคือ ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ ซึ่งในขณะนั้นเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ศูนย์อพยพในจังหวัดหนองคาย ต้องกลับมาสานต่องานที่พ่อออกแบบไว้จนสำเร็จ

“ผลงานนี้คือจุดกำเนิดของ ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ” ช้าง-ภาพตะวัน กล่าวถึงจิตรกรรมฝาผนังขนาดยาว 17 เมตร สูง 15.4 เมตร ที่ติดตั้งตรงโถงบันไดของล็อบบีเล่าเรื่องราวการสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีและการก่อตั้งราชวงค์จักรี รวมถึงจิตรกรรมประดับเพดานล็อบบีและชั้นลอยเป็นรูปหมู่ดาวและจักรราศีบนพื้นที่ 998 ตารางเมตร ด้วยเทคนิคสีฝุ่นผสมกาวและทองคำเปลวบนผ้าไหมที่หุ้มบนกระดานไม้อัดเคลือบผิว

ถึงแม้ภาพตะวันติดตามพ่อไปทำงานตามที่ต่างๆ ตั้งแต่วัยเด็ก แต่ท่านกูฏไม่ประสงค์ให้ลูกทั้งหกคน ประกอบอาชีพเป็น “ศิลปิน” เนื่องจากความขัดสนและอุปสรรคนานาที่ท่านพบเจอมาตลอดเส้นทางอาชีพ ภาพตะวันจึงเข้าเรียนคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่เมื่อต้องมาสานต่องานของพ่อทำให้เธอก้าวเข้าสู่เส้นทางศิลปินเต็มตัวในวัย 22 ปี จนปัจจุบันกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติกับงานศิลปะที่ผสมผสานจิตรกรรมประเพณีไทยกับศิลปะร่วมสมัย

“พวกเราพี่น้องเติบโตมากับพ่อผู้ทำงานศิลปะจนชีวิตและศิลปะเป็นหนึ่งเดียวกันจึงเห็นแนวคิดและการทำงานของพ่อมาโดยตลอด โปรเจกต์ที่โรงแรมอันตราท่านออกแบบในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตและมีทีมงานเขียน 27 คน รวมถึงลูกอีก 3 คน คือ ภาพตะวัน กาพย์แก้ว และ นาคนิมิตร ในการทำงานพ่อพูดเสมอว่า ‘เห็นหนึ่ง เห็นทั้งหมด เห็นทั้งหมด เห็นหนึ่ง’ คือไม่ว่าใครจะทำงานกับพ่อทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งเดียว และสอดแทรกแนวคิดเรื่องธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นพื้นฐานของธรรมชาติและองค์ประกอบของชีวิตไว้ในผลงานเสมอ” ภาพตะวันในวัย 66 ปีกล่าว

ในวาระ 100 ปีชาตกาลของท่านกูฎใน พ.ศ.2568 ทางทายาทนำโดยภาพตะวันจึงได้ร่วมกันจัดนิทรรศการ The Power of Visualization ที่ ท่าพิพิธภัณฑ์ (Museum Pier) ระหว่างวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 เพื่อรำลึกและถ่ายทอดแนวคิดและปรัชญาการทำงานของท่านกูฏ โดยเฉพาะในช่วงปี 2508-2519 ซึ่งเป็นทศวรรษที่ท่านสร้างสรรค์งานอย่างเข้มข้น ตั้งแต่จิตรกรรมสีฝุ่นบนผนังปูนที่ร้านศรีวิวัฒน์ไก่ย่างและโรงแรมมณเฑียร จิตรกรรมฝาผนังที่วัดเทพพลย่านตลิ่งชัน พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ และโรงแรมดุสิตธานี จนถึงการสร้างสรรค์จิตรกรรมฝาผนังบนผ้าไหมที่หุ้มบนแผ่นไม้สำหรับโรงแรมมณเฑียรและโรงแรมอนันตรา สยาม แทนการเขียนบนผนังปูนอย่างเดิมที่เสี่ยงต่อการถูกทำลายเมื่อมีการรื้อถอนอาคาร รวมไปถึงผลงานวรรณกรรมและการออกแบบนาฏลีลา

เขียนใบไม้เป็นหมื่นเป็นแสนใบให้คุ้นมือจนชำนาญ
ผลงานของท่านกูฏมักเป็นผลงานชิ้นขนาดใหญ่มากกว่า 20 ตารางเมตร จึงไม่มีงานที่เป็นคอลเลกชันสำหรับสะสมมากนักแม้แต่ที่ตกทอดถึงทายาทเองมีเพียงงานสเกตช์บางชิ้นเท่านั้น นิทรรศการ The Power of Visualization จึงเป็นการนำเสนอในแบบ Archives หรือ จดหมายเหตุ ที่เน้นให้เห็นถึงแนวคิดและปรัชญาการทำงานของท่านกูฏผ่านไทม์ไลน์การสร้างสรรค์งานที่ผสมผสานจิตรกรรมไทยประเพณีกับความสนใจในศิลปะสมัยใหม่ เช่น ศิลปะแบบจุดสี (pointillism) และอิมเพรสชันนิสม์ (impressionism) และความท้าทายในการสร้างงานแบบจิตรกรรมไทยร่วมสมัยสำหรับตกแต่งอาคารอย่างเช่นโรงแรมและธนาคาร ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกใหม่ในยุคนั้น

“ในการเขียนจิตรกรรมฝาผนังพ่อจะสเกตช์งานบนกระดาษไขขนาดเท่างานจริง งานสเกตช์เหล่านี้เมื่อกองสูงเป็นภูเขา พ่อก็จะเอาไปเผาทั้งหมดเลย เราถามพ่อว่าทำไมต้องเผา เขาก็บอกว่าไม่ต้องการให้งานสเกตช์เป็นงาน เพราะงานจริงคือจิตรกรรมฝาผนัง งานของเขาไม่ใช่งานสำหรับลอกเลียนแบบ ไม่ต้องยึดติดกับการเก็บกระดาษ และไม่อยากให้คนหยุดคิด และให้ฝึกฝนสร้างสรรค์สิ่งใหม่เสมอ” ภาพตะวันซึ่งปัจจุบันพำนักและทำงานที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย กล่าวถึงแนวคิดการทำงานของท่านกูฏ
นาคนิมิตร บุตรชายอีกคนของท่านกูฏกล่าวเสริมว่า “เราช่วยพ่อล้างพู่กัน เตรียมสีกันมาตั้งแต่เด็กๆ พ่อสอนให้เราฝึกเขียนให้มากจนคุ้นมือและเกิดความชำนาญ ในนิทรรศการเราจึงอยากนำเสนอแนวคิดหลัก 3 ข้อของพ่อ อย่างแรกคือ ‘การปฏิบัติสู่ปัญญา’ หมายถึงการทำงานให้เยอะ เช่น พ่อเขียนใบไม้เป็นหมื่นเป็นแสนใบจนเกิดการเชื่อมโยงระหว่างตานอก ตาใน และปัญญา ต่อมาคือเรื่อง ‘Force of Nature’ หรือดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เป็นองค์ประกอบของชีวิตและถ่ายทอดสู่ผลงาน และท้ายสุดคือเรื่อง ‘อิสระการสร้างสรรค์’ เพราะพ่อต่อต้านกฎเกณฑ์แบบอะคาเดมิก ไม่เคยสร้างกรอบให้ใครและเปิดอิสระมากในการทำงาน”
ผนังด้านหนึ่งของนิทรรศการจึงเป็นผนังว่างเปล่าที่ให้เชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมชมได้หยิบปากกาวาดใบไม้ตามแต่จินตนาการ

อาจารย์ศิลป์ขอให้บุกเบิกงาน Great Art
ท่านกูฏเป็นนักศึกษารุ่นที่ 2 ของคณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นลูกศิษย์ของ อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทย แต่เป็นหนึ่งในนักเรียนที่มีหัวค่อนข้างขบถและต่อต้านการเรียนแบบอะคาเดมิกและไม่เคยเห็นด้วยกับการจัดประกวดศิลปกรรมใดๆ ส่วนที่มาของชื่อท่านกูฏ เพื่อให้เรียกสอดคล้องกับเพื่อนสนิทร่วมรุ่นคือ อังคาร กัลยาณพงศ์ หรือ ท่านอังคาร แม้จะเรียนเอกด้านประติมากรรม เพราะต้องการตามรอยเป็นนักปั้นอย่างเช่นอาจารย์ศิลป์ หรือที่เหล่าลูกศิษย์เรียกว่าอาจารย์ฝรั่ง แต่อาจารย์ศิลป์เป็นผู้แนะนำให้ท่านกูฏหันไปเขียนภาพจิตรกรรมไทย
“ไพบูลย์ต้องแข็งแรงและเสียสละ เป็นความหวังที่มีต่อศิลปเมืองไทย” ท่านกูฏเขียนถึงคำพูดของอาจารย์ศิลป์เมื่อครั้งที่เรียกเขาไปปรึกษาและมอบหมายให้บุกเบิกงานด้านจิตรกรรมฝาผนังในหนังสืออัตชีวประวัติ “ประวัติชีวิต ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ” (2524)

“…ให้ไปบุกเบิกงานทางด้านจิตรกรรมใหญ่ อภิศิลปะ Great Art ในงานด้าน Mural Painting จิตรกรรมฝาผนัง เพราะเห็นว่าในด้านนี้ได้ตายไปจากสังคมปัจจุบันหมดแล้ว และท่านอาจารย์ได้พิจารณาเห็นว่าชาติไทยเป็นชนชาติที่มีผลงานมหึมาทั้งขนาดผลงานและความคิดที่ยังไม่ได้ประกาศให้การศึกษาแก่โลกให้รู้ในด้านจิตรกรรม เรามีพระวิหาร อุโบสถและอารามทั่วราชอาณาจักรไม่ต่ำกว่า 500 แห่งที่เขียนพุทธประวัติและชาดกเป็นจำนวนเนื้อที่มากกว่าโรม กว่าปารีสหลายร้อยเท่า”

เวทีปล่อยของผลงานยุคแรกคือผนังปูนด้านหนึ่งของ ร้านศรีวิวัฒน์ไก่ย่าง ในย่านราชดำเนินซึ่งเจ้าของเป็นลูกพี่ลูกน้อง ท่านกูฏเขียนภาพสีฝุ่นและทองคำเปลวบนผนังปูนขนด 7.5 ตารางเมตร ในปี 2508 เป็นภาพชีวิตชาวบ้านริมน้ำและขบวนแห่งานรื่นเริงของภาคอีสานอันเป็นบ้านเกิดของท่านที่ผสมผสานรายละเอียดแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ (magical realism) คือมีองค์ประกอบที่สมจริง แต่แฝงไปด้วยจินตนาการ เช่น เงือก 2 หาง และไก่บนฟ้า เมื่อร้านศรีวิวัฒน์ไก่ย่างเลิกกิจการ พิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ก่อตั้งท่าพิพิธภัณฑ์ ได้ซื้อภาพนี้ไว้โดยถอดภาพออกจากผนังปูนและส่งต่อไปอนุรักษ์เป็นระยะเวลาร่วม 6 เดือนที่องค์กรอนุรักษ์ไร้พรมแดน (Restaurateurs Sans Frontières) ซึ่งก่อตั้งโดย โรแบร์ต บูแกรง ดูบูร์ก (Robert Bougrain Dubourg) ผู้อยู่เบื้องหลังการซ่อมแซมและอนุรักษ์งานศิลปะสำคัญในประเทศไทย เช่น ภาพวาดฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 9 และจิตรกรรมฝาผนังในพระที่นั่งอัมพรสถาน ทั้งนี้พิริยะได้ตั้งชื่อผลงานชิ้นนี้ว่า “ทิพย์นิยายอ่าวสยาม” และนำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ด้วย

“ในภาพนี้จะเห็นปรัชญาการทำงานของท่านกูฏที่มีการนำเรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ มาเล่าซ้ำตลอดเวลา และเน้นภาพวิถีชีวิตชาวบ้านโดยสอดแทรกสุภาษิตของอีสานที่พ่อชอบพูดว่า ‘อย่าเห็นแก่เงินแสนไถ่ จงเห็นแก่ไพร่แสนเมือง’ (ผู้นำควรเห็นแก่บ้านแก่เมืองและประชาชนมากกว่าทรัพย์สินเงินทอง)” ภาพตะวันกล่าว

สานต่องานที่พ่อเขียนค้างไว้ที่วัดเทพพล
ใน พ.ศ.2509 ท่านกูฏอาสาเขียนจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถของวัดเทพพล โดยใช้อุปกรณ์และเงินทุนส่วนตัวที่มีอย่างจำกัดและค่อยๆ ทำทีละเล็กทีละน้อย แต่ทำได้เพียงแค่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ก็จากไปเสียก่อน ทางทายาทนำโดย 3 พี่น้อง ภาพตะวัน กาพย์แก้ว และนาคนิมิตร จึงได้มาสานต่องานของพ่อตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567 จนเสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2568

“จิตรกรรมฝาผนังนี้จะเป็นงาน retrospective ของพ่อโดยจะนำเสนอผลงานเก่าที่พ่อเขียนค้างไว้ และเชื่อมโยงการเดินทางของพ่อด้วยการนำ elements สำคัญบางส่วนในงานที่พ่อเขียนไว้ทั้งที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ โรงแรมดุสิตธานี โรงแรมมณเฑียร โรงแรมอนันตรา สยาม และร้านศรีวิวัฒน์ไก่ย่าง มาจัดองค์ประกอบให้สอดคล้องกันโดยพี่ช้าง (ภาพตะวัน) เป็นผู้ออกแบบภาพรวมและมีการเสริมภาพชีวิตของชาวบางพรมที่อยู่บริเวณรอบวัดเข้าไปด้วย” กาพย์แก้ว ผู้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการวาดภาพเพื่อสานต่อให้สมบูรณ์ อธิบายถึงภาพรวมของจิตรกรรมฝาผนังที่วัดเทพพล

เมื่อหันมาทำงานด้านจิตรกรรมไทย ท่านกูฏศึกษาลายไทยต่างๆ ที่วัดโพธิ์เป็นเวลากว่า 3 ปี พร้อมกับได้เรียนกับ อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ บรมครูผู้บุกเบิกงานอนุรักษ์จิตรกรรมไทย ในขณะศึกษางานศิลปะไทยที่วัดโพธิ์นี่เองมีผู้แนะนำให้ท่านรู้จักกับพระอาจารย์รูปหนึ่งที่วัดเทพพลจนเป็นที่มาของโปรเจกต์เขียนภาพให้วัดในช่วงที่กำลังร้อนวิชาและอยากหาพื้นที่ทดลองงาน ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ท่านกูฏได้เขียนจิตรกรรมฝาผนังขนาด 6 ตารางเมตร เป็นภาพโขลงช้าง สำหรับตกแต่งห้องไอยรา โรงแรมมณเฑียร ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ท่านกูฏมีผลงานตกแต่งที่โรงแรมอื่นๆ ในเวลาต่อมา

บุกเบิกจิตรกรรมฝาผนังในวัง โรงแรม ธนาคาร
อีกหนึ่งสถานที่ที่ผู้สนใจสามารถดูผลงานของท่านกูฏได้อย่างใกล้ชิดคือ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ที่ได้มีการรื้อถอนเสาปูนขนาดใหญ่สองต้น น้ำหนักต้นละ 5 ตัน ที่ท่านกูฏได้เขียนภาพจิตรกรรมสีฝุ่นไว้เมื่อปี2513 และเคยอยู่ในห้องอาหารไทยเบญจรงค์ มาอนุรักษ์และนำมาประดับเป็นส่วนหนึ่งของล็อบบีใหม่ โดยทางโรงแรมได้ร่วมมือกับทายาทดำเนินการบูรณะเชิงอนุรักษ์งานจิตรกรรมบนเสาเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2568 นอกจากนี้ยังมีจิตรกรรมฝาผนังสีฝุ่นอีกชิ้นหนึ่งที่เคยประดับตรงทางเข้าห้องอาหารเบญจรงค์และยังคงสภาพสมบูรณ์ได้นำมาทำความสะอาดใหม่และย้ายมาติดตั้งอยู่โซนเฮอริเทจชั้น 3 ของโรงแรม
โปรเจกต์สำคัญของท่านกูฏคือ การรับใช้เบื้องพระยุคลบาทรัชกาลที่ 9 ในการเขียนภาพจิตรกรรมสีฝุ่นบนผนังขนาดใหญ่ 4 ภาพ ในช่วง พ.ศ.2514-2515 สำหรับตกแต่งห้องโถงของ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เพื่อรับรองพระราชอาคันตุกะคือ สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิปแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษ โดยเนื้อหาของภาพเล่าเรื่องราวประวัติเมืองเชียงใหม่ วิถีชีวิตชาวบ้านในเมืองและชาวเขาผสมกับเรื่องราวในจินตนาการและสัตว์หิมพานต์

ใน พ.ศ.2517 ท่านกูฏเริ่มมีภาวะไตวายและต้องเข้ารับการฟอกไตสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รัชกาลที่ 9 จึงทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ แม้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่ท่านไม่หยุดสร้างสรรค์ผลงานด้วยการทำโปรเจกต์ใหญ่กับโรงแรมมณเฑียรในช่วง พ.ศ. 2519-2521 ในการเขียนภาพ 5 ภาพ ตกแต่งล็อบบี ห้องมณเฑียรทิพย์ และห้องพัก Imperial Suite ด้วยเทคนิคใหม่คือเขียนสีฝุ่นผสมกาวและทองคำเปลวบนผ้าไหมที่หุ้มบนแผ่นไม้เพื่อให้สามารถถอดออกจากผนังได้โดยไม่กระทบต่อชิ้นงานหากมีการรื้อถอน

เนื่องจากภาพโขลงช้างที่ท่านเคยเขียนไว้สำหรับตกแต่งห้องไอยราของโรงแรมใน พ.ศ.2508 เป็นภาพบนผนังปูนได้ถูกทำลายไปเมื่อมีการรื้อถอนอาคาร ท่านกูฏจึงได้คิดค้นวิธีการใหม่ที่ไม่เขียนลงบนผนังโดยตรงและเห็นว่าผ้าไหมมีความคงทนและแมลงไม่กัดกิน เนื้อหาหลักในภาพเป็นเรื่องราวของเหล่าเทพเทวดาที่สถิตในปราสาทตามความหมายของชื่อมณเฑียร และในช่วง พ.ศ.2523-2524 ท่านกูฏยังได้สร้างสรรค์จิตรกรรมฝาผนังเพื่อตกแต่ง ธนาคารกรุงเทพ สาขาสีลม ในรูปแบบสามมิตินูนต่ำด้วยเซรามิกและสเตนกลาส

โปรเจกต์สุดท้ายของพ่อและจุดกำเนิดศิลปินชื่อภาพตะวัน
ในนิทรรศการจัดแสดงสำเนาภาพสเกตช์บางลายที่ ท่านกูฏ ออกแบบสำหรับจิตรกรรมฝาผนังของโรงแรมอนันตรา สยาม (ในสมัยนั้นชื่อว่าโรงแรมราชดำริ) สำเนากระดาษโน้ตที่ท่านเขียนถึงอาการเจ็บป่วยของตัวเองและโครงการวาดรูปที่วัดเทพพล รวมทั้งจดหมายถึง “ลูกช้าง” (ภาพตะวัน) ในช่วงวาระที่ท่านรู้ตัวว่าน่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ยังเป็นห่วงงานที่ทำให้กับโรงแรมว่ายังไม่แล้วเสร็จ
“รักษาตัวให้ดี พ่อยังเป็นห่วงรูป พยายามเอาไปติดที่โรงแรมให้เสร็จ อย่าให้โรงแรมเสีย” ใจความตอนหนึ่งในจดหมาย
“ถึงแม้งานที่โรงแรมอนันตรา สยาม พ่อไม่ได้ลงมือเขียนภาพบนผนังด้วยตัวเอง แต่ท่านเป็นผู้ออกแบบทั้งหมด โดยทำงานใกล้ชิดกับสถาปนิกคือ คุณแดน วงศ์ประศาธน์ ผู้ออกแบบอาคารในสไตล์โพสต์โมเดิร์น เพราะตอนที่ออกแบบนั้น โรงแรมอยู่ระหว่างการก่อสร้างจึงต้องจินตนาการว่าภาพจะอยู่ตรงไหนและอย่างไรบ้าง” ภาพตะวันกล่าว
เมื่อต้องสานต่องานของพ่อในขณะที่ท่านป่วยหนักและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ภาพตะวันเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการใช้สีของภาพในโครงการทั้งหมด

“เมื่อถามพ่อว่าตรงนี้เป็นสีอะไร พ่อก็จะตอบกลับมาเพียงว่า ‘สีสว่าง’ แต่สว่างมีหลายเฉดอีก พ่อก็จะท่องกลอนว่า ‘ยามเมื่อพระมหาสัตว์ เสด็จสู่ครรโภทรพระมารดา ราตรีมืดมนอนธการ พลันสว่างรุ่งรางดั่งกลางวัน หมู่บุพชาติก็ดารดาษมาโดยฑิฆัมพร’ เราก็ต้องกลับไปตีโจทย์ซึ่งใช้เวลาอยู่หลายวัน ช่างเขียนทั้งหมดก็จะต้องรอเราว่าจะใช้สีอะไร และเนื่องจากชื่อเล่นเราชื่อ ‘ช้าง’ พ่อก็มอบหมายให้เราเขียนรูปช้าง พอถามว่าช้างในรูปจะสีอะไร พ่อก็ตอบว่า ‘สีช้าง’ เราก็ต้องมาตีความจนได้สีในเฉดที่ให้ความรู้สึกขึงขลัง หนักแน่น แต่เท็กซ์เจอร์มีความนุ่มนวล”


ภาพตะวันอธิบายว่าจิตรกรรมฝาผนังตรงโถงบันไดชิ้นนี้ ท่านกูฏ จัดวางองค์ประกอบให้ 2 ข้างมีความสมมาตรทั้งในแนวราบและแนวตั้ง ภาพในทางราบเล่าเรื่องที่อ้างอิงประวัติศาสตร์ ขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค (ทางบก) และทางชลมารค (ทางน้ำ) ชีวิตผู้คนและภาพธรรมชาติเพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง ส่วนภาพในแนวตั้งจะมีเส้นสินเทาที่ใช้แบ่งสวรรค์กับโลก ดังจะเห็นได้จากภาพเทวดาและภาพดอกไม้ร่วงหรือดอกไม้ทิพย์ที่ร่วงหล่นจากสวรรค์เพื่อสื่อถึงความเป็นสิริมงคล
“สิ่งที่โดดเด่นในภาพ คือ รูปม้า เรือ ราชรถ และช้าง โดยม้าสื่อถึงการคมนาคมและการสื่อสาร เรือคือเรือสำเภาที่หมายถึงการพาณิชย์และการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับต่างประเทศ ราชรถสื่อถึงราชบัลลังก์และผู้มีบุญญาธิการ และช้างคือความมั่นคงและการปกป้อง”

ความสามารถทางวรรณกรรมและการออกแบบการแสดง
นอกจากผลงานด้านจิตรกรรมแล้ว ท่านกูฏยังมีความสามารถทางด้านวรรณกรรม โดยได้ประพันธ์เรื่องสั้น 2 เรื่องชื่อ “เขี้ยวหมูป่า” ใน พ.ศ.2510 และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารรายเดือนกันยายน นลิน ของ “รงค์ วงษ์สวรรค์” และอีกเรื่องคือ “ส้มป่อยดอกเหลือง” ใน พ.ศ.2519 โดยเนื้อหาบางส่วนของทั้งสองเรื่องได้นำมาจัดแสดงในนิทรรศการนี้ด้วย นอกจากนี้ท่านกูฏยังได้ออกแบบศิลปะการแสดงต่างๆ โดยหนึ่งในภาพถ่ายเก่าของการแสดงได้นำมาถ่ายทอดเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วยเทคโนโลยี AI
“คำที่พ่อบรรยายในเรื่อง “เขี้ยวหมูป่า” เช่น ‘ลอดกิ่งลอดก้าน คือก้านคือกิ่ง ป่าย่อมเป็นป่า ทั้งรกทั้งสะอาด’ เป็นมุมมองเช่นเดียวกับงานจิตรกรรมที่พ่อเขียน โดยใช้ความขัดแย้งให้เกิดความงาม ทำให้ภาพมีชีวิตชีวาและมีมิติ” กาพย์แก้วอธิบาย


แทนสกุล (หลานของ ท่านกูฏ และลูกชายของนาคนิมิตร) ยังได้ประพันธ์บทเพลงบรรเลงแนวออร์เคสตราพร้อมกับนำภาพจากจิตรกรรมฝาผนังที่โรงแรมอนันตรา สยาม เช่น ภาพขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคและทางชลมารค ขบวนช้างและม้า เป็นต้น มาทำเป็นเอนิเมชันและใช้ mapping ลงบนฉากที่เป็นผ้ามุ้งหลายเลเยอร์
“เพลงชื่อเดียวกับนิทรรศการคือ The Power of Visualization เพราะพ่อพูดเสมอว่าการทำงานชิ้นใหญ่แสดงถึงพลัง และการเขียนภาพจิตรกรรมไทยฝาผนังเหมือนวงออร์เคสตรา ที่มีเครื่องดนตรีหลายชนิดร่วมกันบรรเลงบทเพลง” นาคนิมิตรกล่าว
Fact File
- นิทรรศการ The Power of Visualization จัดขึ้นในวาระ 100 ปีชาตกาลของ ท่านกูฏ ที่ท่าพิพิธภัณฑ์ (Museum Pier) ระหว่างวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569
- ท่าพิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่ในโครงการท่าช้างวังหลวง ติดกับท่าเรือท่าช้าง ถนนมหาราช กรุงเทพฯ และเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น.
- ค่าเข้าชมสำหรับเด็ก/นักเรียน/นักศึกษา 150 บาท และผู้ใหญ่ 250 บาท (ในระหว่างวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 เข้าชมได้ทั้ง 2 นิทรรศการ คือ The Power of Visualization ของ ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ และนิทรรศการประติมากรรม Life and Bronze ของ ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์)