100 ปีชาตกาล ท่านกูฏ กับเส้นทางศิลปินของ ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ ที่เริ่มต้นจากโปรเจกต์สุดท้ายของพ่อ
Faces

100 ปีชาตกาล ท่านกูฏ กับเส้นทางศิลปินของ ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ ที่เริ่มต้นจากโปรเจกต์สุดท้ายของพ่อ

Focus
  • พบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือท่านกูฏ (พ.ศ. 2468-2525) เป็นศิลปินชั้นครูผู้บุกเบิกจิตรกรรมฝาผนังไทยร่วมสมัยที่ปรากฏทั้งในพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ โรงแรมมณเฑียร โรงแรมดุสิตธานี และโรงแรมอนันตรา สยาม
  • โปรเจกต์สุดท้ายและใหญ่สุดของท่านกูฏ คือจิตรกรรมฝาผนังที่โรงแรมอนันตรา สยาม แต่ทำได้เพียงครึ่งทางท่านจากไปเสียก่อน และลูกสาวคือ ภาพตะวัน เป็นผู้สานต่อและเป็นจุดเริ่มต้นอาชีพศิลปินของเธอ
  • ในวาระ 100 ปีชาตกาลของท่านกูฏใน พ.ศ.2568 ทางทายาทได้จัดนิทรรศการ The Power of Visualization เพื่อรำลึกและถ่ายทอดแนวคิดและปรัชญาการทำงานของท่านกูฏในด้านต่างๆ

จิตรกรรมฝาผนังประดับโถงล็อบบีและเพดานของ โรงแรมอนันตรา สยาม ที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร เป็นผลงานที่ใหญ่ที่สุดและเป็นโปรเจกต์สุดท้ายในชีวิตของ ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือที่รู้จักกันในนาม ท่านกูฏ (พ.ศ. 2468-2525) ศิลปินชั้นครูผู้บุกเบิกจิตรกรรมฝาผนังไทยร่วมสมัย ที่สร้างสรรค์ในพ.ศ. 2525 ในวาระที่กรุงเทพฯ ครบรอบ 200 ปี แต่ทำได้เพียงครึ่งทางท่านจากไปเสียก่อนด้วยโรคไตวาย ทำให้ลูกสาวคือ ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ ซึ่งในขณะนั้นเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ศูนย์อพยพในจังหวัดหนองคาย ต้องกลับมาสานต่องานที่พ่อออกแบบไว้จนสำเร็จ

ท่านกูฏ
จิตรกรรมฝาผนังประดับโถงล็อบบีและเพดานของ โรงแรมอนันตรา สยาม โปรเจกต์สุดท้ายในชีวิตของ ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ

“ผลงานนี้คือจุดกำเนิดของ ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ” ช้าง-ภาพตะวัน กล่าวถึงจิตรกรรมฝาผนังขนาดยาว 17 เมตร สูง 15.4 เมตร ที่ติดตั้งตรงโถงบันไดของล็อบบีเล่าเรื่องราวการสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีและการก่อตั้งราชวงค์จักรี รวมถึงจิตรกรรมประดับเพดานล็อบบีและชั้นลอยเป็นรูปหมู่ดาวและจักรราศีบนพื้นที่ 998 ตารางเมตร ด้วยเทคนิคสีฝุ่นผสมกาวและทองคำเปลวบนผ้าไหมที่หุ้มบนกระดานไม้อัดเคลือบผิว

ท่านกูฏ
ช้าง- ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ

ถึงแม้ภาพตะวันติดตามพ่อไปทำงานตามที่ต่างๆ ตั้งแต่วัยเด็ก แต่ท่านกูฏไม่ประสงค์ให้ลูกทั้งหกคน ประกอบอาชีพเป็น “ศิลปิน” เนื่องจากความขัดสนและอุปสรรคนานาที่ท่านพบเจอมาตลอดเส้นทางอาชีพ ภาพตะวันจึงเข้าเรียนคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่เมื่อต้องมาสานต่องานของพ่อทำให้เธอก้าวเข้าสู่เส้นทางศิลปินเต็มตัวในวัย 22 ปี  จนปัจจุบันกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติกับงานศิลปะที่ผสมผสานจิตรกรรมประเพณีไทยกับศิลปะร่วมสมัย

ท่านกูฏ
ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ

“พวกเราพี่น้องเติบโตมากับพ่อผู้ทำงานศิลปะจนชีวิตและศิลปะเป็นหนึ่งเดียวกันจึงเห็นแนวคิดและการทำงานของพ่อมาโดยตลอด  โปรเจกต์ที่โรงแรมอันตราท่านออกแบบในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตและมีทีมงานเขียน 27 คน รวมถึงลูกอีก 3 คน คือ ภาพตะวัน กาพย์แก้ว และ นาคนิมิตร  ในการทำงานพ่อพูดเสมอว่า ‘เห็นหนึ่ง เห็นทั้งหมด เห็นทั้งหมด เห็นหนึ่ง’ คือไม่ว่าใครจะทำงานกับพ่อทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งเดียว และสอดแทรกแนวคิดเรื่องธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นพื้นฐานของธรรมชาติและองค์ประกอบของชีวิตไว้ในผลงานเสมอ” ภาพตะวันในวัย 66 ปีกล่าว

ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ

ในวาระ 100 ปีชาตกาลของท่านกูฎใน พ.ศ.2568 ทางทายาทนำโดยภาพตะวันจึงได้ร่วมกันจัดนิทรรศการ The Power of Visualization ที่ ท่าพิพิธภัณฑ์ (Museum Pier) ระหว่างวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 เพื่อรำลึกและถ่ายทอดแนวคิดและปรัชญาการทำงานของท่านกูฏ โดยเฉพาะในช่วงปี 2508-2519 ซึ่งเป็นทศวรรษที่ท่านสร้างสรรค์งานอย่างเข้มข้น ตั้งแต่จิตรกรรมสีฝุ่นบนผนังปูนที่ร้านศรีวิวัฒน์ไก่ย่างและโรงแรมมณเฑียร จิตรกรรมฝาผนังที่วัดเทพพลย่านตลิ่งชัน พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ และโรงแรมดุสิตธานี จนถึงการสร้างสรรค์จิตรกรรมฝาผนังบนผ้าไหมที่หุ้มบนแผ่นไม้สำหรับโรงแรมมณเฑียรและโรงแรมอนันตรา สยาม แทนการเขียนบนผนังปูนอย่างเดิมที่เสี่ยงต่อการถูกทำลายเมื่อมีการรื้อถอนอาคาร รวมไปถึงผลงานวรรณกรรมและการออกแบบนาฏลีลา

ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ

เขียนใบไม้เป็นหมื่นเป็นแสนใบให้คุ้นมือจนชำนาญ

ผลงานของท่านกูฏมักเป็นผลงานชิ้นขนาดใหญ่มากกว่า 20 ตารางเมตร จึงไม่มีงานที่เป็นคอลเลกชันสำหรับสะสมมากนักแม้แต่ที่ตกทอดถึงทายาทเองมีเพียงงานสเกตช์บางชิ้นเท่านั้น นิทรรศการ The Power of Visualization จึงเป็นการนำเสนอในแบบ Archives หรือ จดหมายเหตุ ที่เน้นให้เห็นถึงแนวคิดและปรัชญาการทำงานของท่านกูฏผ่านไทม์ไลน์การสร้างสรรค์งานที่ผสมผสานจิตรกรรมไทยประเพณีกับความสนใจในศิลปะสมัยใหม่ เช่น ศิลปะแบบจุดสี (pointillism) และอิมเพรสชันนิสม์ (impressionism) และความท้าทายในการสร้างงานแบบจิตรกรรมไทยร่วมสมัยสำหรับตกแต่งอาคารอย่างเช่นโรงแรมและธนาคาร ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกใหม่ในยุคนั้น

“ในการเขียนจิตรกรรมฝาผนังพ่อจะสเกตช์งานบนกระดาษไขขนาดเท่างานจริง  งานสเกตช์เหล่านี้เมื่อกองสูงเป็นภูเขา พ่อก็จะเอาไปเผาทั้งหมดเลย  เราถามพ่อว่าทำไมต้องเผา  เขาก็บอกว่าไม่ต้องการให้งานสเกตช์เป็นงาน เพราะงานจริงคือจิตรกรรมฝาผนัง  งานของเขาไม่ใช่งานสำหรับลอกเลียนแบบ ไม่ต้องยึดติดกับการเก็บกระดาษ และไม่อยากให้คนหยุดคิด และให้ฝึกฝนสร้างสรรค์สิ่งใหม่เสมอ” ภาพตะวันซึ่งปัจจุบันพำนักและทำงานที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย กล่าวถึงแนวคิดการทำงานของท่านกูฏ

นาคนิมิตร บุตรชายอีกคนของท่านกูฏกล่าวเสริมว่า “เราช่วยพ่อล้างพู่กัน เตรียมสีกันมาตั้งแต่เด็กๆ  พ่อสอนให้เราฝึกเขียนให้มากจนคุ้นมือและเกิดความชำนาญ  ในนิทรรศการเราจึงอยากนำเสนอแนวคิดหลัก 3 ข้อของพ่อ  อย่างแรกคือ ‘การปฏิบัติสู่ปัญญา’ หมายถึงการทำงานให้เยอะ เช่น พ่อเขียนใบไม้เป็นหมื่นเป็นแสนใบจนเกิดการเชื่อมโยงระหว่างตานอก ตาใน และปัญญา ต่อมาคือเรื่อง ‘Force of Nature’ หรือดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เป็นองค์ประกอบของชีวิตและถ่ายทอดสู่ผลงาน  และท้ายสุดคือเรื่อง ‘อิสระการสร้างสรรค์’ เพราะพ่อต่อต้านกฎเกณฑ์แบบอะคาเดมิก ไม่เคยสร้างกรอบให้ใครและเปิดอิสระมากในการทำงาน”

ผนังด้านหนึ่งของนิทรรศการจึงเป็นผนังว่างเปล่าที่ให้เชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมชมได้หยิบปากกาวาดใบไม้ตามแต่จินตนาการ

(คนกลาง) ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ

อาจารย์ศิลป์ขอให้บุกเบิกงาน Great Art

ท่านกูฏเป็นนักศึกษารุ่นที่ 2 ของคณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นลูกศิษย์ของ อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทย แต่เป็นหนึ่งในนักเรียนที่มีหัวค่อนข้างขบถและต่อต้านการเรียนแบบอะคาเดมิกและไม่เคยเห็นด้วยกับการจัดประกวดศิลปกรรมใดๆ  ส่วนที่มาของชื่อท่านกูฏ เพื่อให้เรียกสอดคล้องกับเพื่อนสนิทร่วมรุ่นคือ อังคาร กัลยาณพงศ์ หรือ ท่านอังคาร  แม้จะเรียนเอกด้านประติมากรรม เพราะต้องการตามรอยเป็นนักปั้นอย่างเช่นอาจารย์ศิลป์ หรือที่เหล่าลูกศิษย์เรียกว่าอาจารย์ฝรั่ง  แต่อาจารย์ศิลป์เป็นผู้แนะนำให้ท่านกูฏหันไปเขียนภาพจิตรกรรมไทย

“ไพบูลย์ต้องแข็งแรงและเสียสละ เป็นความหวังที่มีต่อศิลปเมืองไทย” ท่านกูฏเขียนถึงคำพูดของอาจารย์ศิลป์เมื่อครั้งที่เรียกเขาไปปรึกษาและมอบหมายให้บุกเบิกงานด้านจิตรกรรมฝาผนังในหนังสืออัตชีวประวัติ “ประวัติชีวิต ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ” (2524)

“…ให้ไปบุกเบิกงานทางด้านจิตรกรรมใหญ่ อภิศิลปะ Great Art ในงานด้าน Mural Painting จิตรกรรมฝาผนัง เพราะเห็นว่าในด้านนี้ได้ตายไปจากสังคมปัจจุบันหมดแล้ว และท่านอาจารย์ได้พิจารณาเห็นว่าชาติไทยเป็นชนชาติที่มีผลงานมหึมาทั้งขนาดผลงานและความคิดที่ยังไม่ได้ประกาศให้การศึกษาแก่โลกให้รู้ในด้านจิตรกรรม เรามีพระวิหาร อุโบสถและอารามทั่วราชอาณาจักรไม่ต่ำกว่า 500 แห่งที่เขียนพุทธประวัติและชาดกเป็นจำนวนเนื้อที่มากกว่าโรม กว่าปารีสหลายร้อยเท่า”

ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ
ผลงานที่เคยสร้างให้กับร้านศรีวิวัฒน์ไก่ย่าง

เวทีปล่อยของผลงานยุคแรกคือผนังปูนด้านหนึ่งของ ร้านศรีวิวัฒน์ไก่ย่าง ในย่านราชดำเนินซึ่งเจ้าของเป็นลูกพี่ลูกน้อง  ท่านกูฏเขียนภาพสีฝุ่นและทองคำเปลวบนผนังปูนขนด 7.5 ตารางเมตร ในปี 2508 เป็นภาพชีวิตชาวบ้านริมน้ำและขบวนแห่งานรื่นเริงของภาคอีสานอันเป็นบ้านเกิดของท่านที่ผสมผสานรายละเอียดแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ (magical realism) คือมีองค์ประกอบที่สมจริง แต่แฝงไปด้วยจินตนาการ เช่น เงือก 2 หาง และไก่บนฟ้า  เมื่อร้านศรีวิวัฒน์ไก่ย่างเลิกกิจการ พิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ก่อตั้งท่าพิพิธภัณฑ์ ได้ซื้อภาพนี้ไว้โดยถอดภาพออกจากผนังปูนและส่งต่อไปอนุรักษ์เป็นระยะเวลาร่วม 6 เดือนที่องค์กรอนุรักษ์ไร้พรมแดน (Restaurateurs Sans Frontières) ซึ่งก่อตั้งโดย โรแบร์ต บูแกรง ดูบูร์ก (Robert Bougrain Dubourg) ผู้อยู่เบื้องหลังการซ่อมแซมและอนุรักษ์งานศิลปะสำคัญในประเทศไทย เช่น ภาพวาดฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 9 และจิตรกรรมฝาผนังในพระที่นั่งอัมพรสถาน ทั้งนี้พิริยะได้ตั้งชื่อผลงานชิ้นนี้ว่า “ทิพย์นิยายอ่าวสยาม” และนำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ด้วย

ภาพเงือก 2 หาง ในจิตรกรรมร้านศรีวิวัฒน์ไก่ย่าง

“ในภาพนี้จะเห็นปรัชญาการทำงานของท่านกูฏที่มีการนำเรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ มาเล่าซ้ำตลอดเวลา และเน้นภาพวิถีชีวิตชาวบ้านโดยสอดแทรกสุภาษิตของอีสานที่พ่อชอบพูดว่า ‘อย่าเห็นแก่เงินแสนไถ่ จงเห็นแก่ไพร่แสนเมือง’ (ผู้นำควรเห็นแก่บ้านแก่เมืองและประชาชนมากกว่าทรัพย์สินเงินทอง)” ภาพตะวันกล่าว

นาคนิมิตร และ กาพย์แก้ว สุวรรณกูฏ ทายาทของท่านกูฏได้มาสานต่องานของพ่อให้เสร็จสมบูรณ์

สานต่องานที่พ่อเขียนค้างไว้ที่วัดเทพพล

ใน พ.ศ.2509 ท่านกูฏอาสาเขียนจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถของวัดเทพพล โดยใช้อุปกรณ์และเงินทุนส่วนตัวที่มีอย่างจำกัดและค่อยๆ ทำทีละเล็กทีละน้อย  แต่ทำได้เพียงแค่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ก็จากไปเสียก่อน  ทางทายาทนำโดย 3 พี่น้อง ภาพตะวัน กาพย์แก้ว และนาคนิมิตร จึงได้มาสานต่องานของพ่อตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567 จนเสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2568

จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดเทพพล

“จิตรกรรมฝาผนังนี้จะเป็นงาน retrospective ของพ่อโดยจะนำเสนอผลงานเก่าที่พ่อเขียนค้างไว้ และเชื่อมโยงการเดินทางของพ่อด้วยการนำ elements สำคัญบางส่วนในงานที่พ่อเขียนไว้ทั้งที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ โรงแรมดุสิตธานี โรงแรมมณเฑียร โรงแรมอนันตรา สยาม และร้านศรีวิวัฒน์ไก่ย่าง มาจัดองค์ประกอบให้สอดคล้องกันโดยพี่ช้าง (ภาพตะวัน) เป็นผู้ออกแบบภาพรวมและมีการเสริมภาพชีวิตของชาวบางพรมที่อยู่บริเวณรอบวัดเข้าไปด้วย” กาพย์แก้ว ผู้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการวาดภาพเพื่อสานต่อให้สมบูรณ์ อธิบายถึงภาพรวมของจิตรกรรมฝาผนังที่วัดเทพพล

ท่านกูฏ
จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดเทพพล

เมื่อหันมาทำงานด้านจิตรกรรมไทย ท่านกูฏศึกษาลายไทยต่างๆ ที่วัดโพธิ์เป็นเวลากว่า 3 ปี พร้อมกับได้เรียนกับ อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ บรมครูผู้บุกเบิกงานอนุรักษ์จิตรกรรมไทย  ในขณะศึกษางานศิลปะไทยที่วัดโพธิ์นี่เองมีผู้แนะนำให้ท่านรู้จักกับพระอาจารย์รูปหนึ่งที่วัดเทพพลจนเป็นที่มาของโปรเจกต์เขียนภาพให้วัดในช่วงที่กำลังร้อนวิชาและอยากหาพื้นที่ทดลองงาน  ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ท่านกูฏได้เขียนจิตรกรรมฝาผนังขนาด 6 ตารางเมตร เป็นภาพโขลงช้าง สำหรับตกแต่งห้องไอยรา โรงแรมมณเฑียร ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ท่านกูฏมีผลงานตกแต่งที่โรงแรมอื่นๆ ในเวลาต่อมา

ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ
ผลงานที่อนุรักษ์ไว้ใน โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ

บุกเบิกจิตรกรรมฝาผนังในวัง โรงแรม ธนาคาร

อีกหนึ่งสถานที่ที่ผู้สนใจสามารถดูผลงานของท่านกูฏได้อย่างใกล้ชิดคือ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ที่ได้มีการรื้อถอนเสาปูนขนาดใหญ่สองต้น น้ำหนักต้นละ 5 ตัน ที่ท่านกูฏได้เขียนภาพจิตรกรรมสีฝุ่นไว้เมื่อปี2513 และเคยอยู่ในห้องอาหารไทยเบญจรงค์ มาอนุรักษ์และนำมาประดับเป็นส่วนหนึ่งของล็อบบีใหม่ โดยทางโรงแรมได้ร่วมมือกับทายาทดำเนินการบูรณะเชิงอนุรักษ์งานจิตรกรรมบนเสาเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2568  นอกจากนี้ยังมีจิตรกรรมฝาผนังสีฝุ่นอีกชิ้นหนึ่งที่เคยประดับตรงทางเข้าห้องอาหารเบญจรงค์และยังคงสภาพสมบูรณ์ได้นำมาทำความสะอาดใหม่และย้ายมาติดตั้งอยู่โซนเฮอริเทจชั้น 3 ของโรงแรม

โปรเจกต์สำคัญของท่านกูฏคือ การรับใช้เบื้องพระยุคลบาทรัชกาลที่ 9 ในการเขียนภาพจิตรกรรมสีฝุ่นบนผนังขนาดใหญ่ 4 ภาพ ในช่วง พ.ศ.2514-2515 สำหรับตกแต่งห้องโถงของ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เพื่อรับรองพระราชอาคันตุกะคือ สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิปแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษ โดยเนื้อหาของภาพเล่าเรื่องราวประวัติเมืองเชียงใหม่ วิถีชีวิตชาวบ้านในเมืองและชาวเขาผสมกับเรื่องราวในจินตนาการและสัตว์หิมพานต์

ท่านกูฏ
ผลงานใน โรงแรมมณเฑียร

ใน พ.ศ.2517 ท่านกูฏเริ่มมีภาวะไตวายและต้องเข้ารับการฟอกไตสัปดาห์ละ 2 ครั้ง  รัชกาลที่ 9 จึงทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์  แม้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่ท่านไม่หยุดสร้างสรรค์ผลงานด้วยการทำโปรเจกต์ใหญ่กับโรงแรมมณเฑียรในช่วง พ.ศ. 2519-2521 ในการเขียนภาพ 5 ภาพ ตกแต่งล็อบบี ห้องมณเฑียรทิพย์ และห้องพัก Imperial Suite ด้วยเทคนิคใหม่คือเขียนสีฝุ่นผสมกาวและทองคำเปลวบนผ้าไหมที่หุ้มบนแผ่นไม้เพื่อให้สามารถถอดออกจากผนังได้โดยไม่กระทบต่อชิ้นงานหากมีการรื้อถอน  

ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ
แบบจิตรกรรมฝาผนังเพื่อตกแต่ง ธนาคารกรุงเทพ สาขาสีลม จัดแสดงในนิทรรศการ The Power of Visualization

เนื่องจากภาพโขลงช้างที่ท่านเคยเขียนไว้สำหรับตกแต่งห้องไอยราของโรงแรมใน พ.ศ.2508 เป็นภาพบนผนังปูนได้ถูกทำลายไปเมื่อมีการรื้อถอนอาคาร  ท่านกูฏจึงได้คิดค้นวิธีการใหม่ที่ไม่เขียนลงบนผนังโดยตรงและเห็นว่าผ้าไหมมีความคงทนและแมลงไม่กัดกิน  เนื้อหาหลักในภาพเป็นเรื่องราวของเหล่าเทพเทวดาที่สถิตในปราสาทตามความหมายของชื่อมณเฑียร  และในช่วง พ.ศ.2523-2524 ท่านกูฏยังได้สร้างสรรค์จิตรกรรมฝาผนังเพื่อตกแต่ง ธนาคารกรุงเทพ สาขาสีลม ในรูปแบบสามมิตินูนต่ำด้วยเซรามิกและสเตนกลาส

ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ
จิตรกรรมฝาผนังของโรงแรมอนันตรา สยาม

โปรเจกต์สุดท้ายของพ่อและจุดกำเนิดศิลปินชื่อภาพตะวัน

ในนิทรรศการจัดแสดงสำเนาภาพสเกตช์บางลายที่ ท่านกูฏ ออกแบบสำหรับจิตรกรรมฝาผนังของโรงแรมอนันตรา สยาม (ในสมัยนั้นชื่อว่าโรงแรมราชดำริ)  สำเนากระดาษโน้ตที่ท่านเขียนถึงอาการเจ็บป่วยของตัวเองและโครงการวาดรูปที่วัดเทพพล รวมทั้งจดหมายถึง “ลูกช้าง” (ภาพตะวัน) ในช่วงวาระที่ท่านรู้ตัวว่าน่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ยังเป็นห่วงงานที่ทำให้กับโรงแรมว่ายังไม่แล้วเสร็จ

“รักษาตัวให้ดี พ่อยังเป็นห่วงรูป พยายามเอาไปติดที่โรงแรมให้เสร็จ อย่าให้โรงแรมเสีย” ใจความตอนหนึ่งในจดหมาย

“ถึงแม้งานที่โรงแรมอนันตรา สยาม พ่อไม่ได้ลงมือเขียนภาพบนผนังด้วยตัวเอง แต่ท่านเป็นผู้ออกแบบทั้งหมด โดยทำงานใกล้ชิดกับสถาปนิกคือ คุณแดน วงศ์ประศาธน์ ผู้ออกแบบอาคารในสไตล์โพสต์โมเดิร์น เพราะตอนที่ออกแบบนั้น โรงแรมอยู่ระหว่างการก่อสร้างจึงต้องจินตนาการว่าภาพจะอยู่ตรงไหนและอย่างไรบ้าง” ภาพตะวันกล่าว

เมื่อต้องสานต่องานของพ่อในขณะที่ท่านป่วยหนักและเสียชีวิตในเวลาต่อมา  ภาพตะวันเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการใช้สีของภาพในโครงการทั้งหมด

ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ
จิตรกรรมฝาผนังของโรงแรมอนันตรา สยาม

“เมื่อถามพ่อว่าตรงนี้เป็นสีอะไร พ่อก็จะตอบกลับมาเพียงว่า ‘สีสว่าง’ แต่สว่างมีหลายเฉดอีก  พ่อก็จะท่องกลอนว่า ‘ยามเมื่อพระมหาสัตว์ เสด็จสู่ครรโภทรพระมารดา ราตรีมืดมนอนธการ พลันสว่างรุ่งรางดั่งกลางวัน หมู่บุพชาติก็ดารดาษมาโดยฑิฆัมพร’  เราก็ต้องกลับไปตีโจทย์ซึ่งใช้เวลาอยู่หลายวัน ช่างเขียนทั้งหมดก็จะต้องรอเราว่าจะใช้สีอะไร  และเนื่องจากชื่อเล่นเราชื่อ ‘ช้าง’ พ่อก็มอบหมายให้เราเขียนรูปช้าง  พอถามว่าช้างในรูปจะสีอะไร พ่อก็ตอบว่า ‘สีช้าง’  เราก็ต้องมาตีความจนได้สีในเฉดที่ให้ความรู้สึกขึงขลัง หนักแน่น แต่เท็กซ์เจอร์มีความนุ่มนวล”

ภาพตะวัน สุวรรณกูฏ
จิตรกรรมฝาผนังของโรงแรมอนันตรา สยาม
ท่านกูฏ

ภาพตะวันอธิบายว่าจิตรกรรมฝาผนังตรงโถงบันไดชิ้นนี้ ท่านกูฏ จัดวางองค์ประกอบให้ 2 ข้างมีความสมมาตรทั้งในแนวราบและแนวตั้ง  ภาพในทางราบเล่าเรื่องที่อ้างอิงประวัติศาสตร์ ขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค (ทางบก) และทางชลมารค (ทางน้ำ) ชีวิตผู้คนและภาพธรรมชาติเพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง  ส่วนภาพในแนวตั้งจะมีเส้นสินเทาที่ใช้แบ่งสวรรค์กับโลก ดังจะเห็นได้จากภาพเทวดาและภาพดอกไม้ร่วงหรือดอกไม้ทิพย์ที่ร่วงหล่นจากสวรรค์เพื่อสื่อถึงความเป็นสิริมงคล

“สิ่งที่โดดเด่นในภาพ คือ รูปม้า เรือ ราชรถ และช้าง โดยม้าสื่อถึงการคมนาคมและการสื่อสาร เรือคือเรือสำเภาที่หมายถึงการพาณิชย์และการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับต่างประเทศ  ราชรถสื่อถึงราชบัลลังก์และผู้มีบุญญาธิการ และช้างคือความมั่นคงและการปกป้อง”

ท่านกูฏ
นิทรรศการThe Power of Visualization

ความสามารถทางวรรณกรรมและการออกแบบการแสดง

นอกจากผลงานด้านจิตรกรรมแล้ว ท่านกูฏยังมีความสามารถทางด้านวรรณกรรม โดยได้ประพันธ์เรื่องสั้น 2 เรื่องชื่อ “เขี้ยวหมูป่า” ใน พ.ศ.2510 และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารรายเดือนกันยายน นลิน ของ “รงค์ วงษ์สวรรค์” และอีกเรื่องคือ “ส้มป่อยดอกเหลือง” ใน พ.ศ.2519 โดยเนื้อหาบางส่วนของทั้งสองเรื่องได้นำมาจัดแสดงในนิทรรศการนี้ด้วย นอกจากนี้ท่านกูฏยังได้ออกแบบศิลปะการแสดงต่างๆ โดยหนึ่งในภาพถ่ายเก่าของการแสดงได้นำมาถ่ายทอดเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วยเทคโนโลยี AI

“คำที่พ่อบรรยายในเรื่อง “เขี้ยวหมูป่า” เช่น ‘ลอดกิ่งลอดก้าน คือก้านคือกิ่ง ป่าย่อมเป็นป่า ทั้งรกทั้งสะอาด’ เป็นมุมมองเช่นเดียวกับงานจิตรกรรมที่พ่อเขียน โดยใช้ความขัดแย้งให้เกิดความงาม ทำให้ภาพมีชีวิตชีวาและมีมิติ” กาพย์แก้วอธิบาย

ท่านกูฏ
ท่านกูฏ
ส่วนหนึ่งของนิทรรศการ The Power of Visualization

แทนสกุล (หลานของ ท่านกูฏ และลูกชายของนาคนิมิตร) ยังได้ประพันธ์บทเพลงบรรเลงแนวออร์เคสตราพร้อมกับนำภาพจากจิตรกรรมฝาผนังที่โรงแรมอนันตรา สยาม เช่น ภาพขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคและทางชลมารค ขบวนช้างและม้า เป็นต้น มาทำเป็นเอนิเมชันและใช้ mapping ลงบนฉากที่เป็นผ้ามุ้งหลายเลเยอร์

“เพลงชื่อเดียวกับนิทรรศการคือ The Power of Visualization เพราะพ่อพูดเสมอว่าการทำงานชิ้นใหญ่แสดงถึงพลัง และการเขียนภาพจิตรกรรมไทยฝาผนังเหมือนวงออร์เคสตรา ที่มีเครื่องดนตรีหลายชนิดร่วมกันบรรเลงบทเพลง” นาคนิมิตรกล่าว

Fact File

  • นิทรรศการ The Power of Visualization จัดขึ้นในวาระ 100 ปีชาตกาลของ ท่านกูฏ ที่ท่าพิพิธภัณฑ์ (Museum Pier) ระหว่างวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569
  • ท่าพิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่ในโครงการท่าช้างวังหลวง  ติดกับท่าเรือท่าช้าง ถนนมหาราช กรุงเทพฯ และเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น.
  • ค่าเข้าชมสำหรับเด็ก/นักเรียน/นักศึกษา 150 บาท และผู้ใหญ่ 250 บาท (ในระหว่างวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 เข้าชมได้ทั้ง 2 นิทรรศการ คือ The Power of Visualization ของ ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ และนิทรรศการประติมากรรม Life and Bronze ของ ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์)

Author

เกษศิรินทร์ ผลธรรมปาลิต
Feature Editor ประจำ Sarakadee Lite อดีต บรรณาธิการข่าวไลฟ์สไตล์ Nation ผู้นิยมคลุกวงในแวดวงศิลปวัฒนธรรมจนได้ขุดเรื่องซีฟๆ มาเล่าสู่กันฟังเสมอ

Photographer

ประเวช ตันตราภิมย์
เริ่มหัดถ่ายภาพเมื่อปี 2535 ด้วยกล้องแบบ SLR ของพ่อ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองก่อนหาความรู้เพิ่มเติมจากรุ่นพี่และนิตยสาร รวมถึงชุมนุมถ่ายภาพ สิบกว่าปีที่เดินตามหลังกล้อง มีโอกาสพบเห็นวัฒนธรรม ประเพณี กลุ่มชนชาติพันธุ์ต่างๆ เชื่อว่าช่างภาพมีหน้าที่สังเกตการณ์ ถ่ายทอดสิ่งที่เห็น และเล่าเรื่องด้วยภาพไปสู่ผู้ชม
ศรัณยู นกแก้ว
Editor ที่ผ่านทั้งงานหนังสือพิมพ์ พ็อกเก็ตบุ๊ค และนิตยสาร ปัจจุบันยังคงสมัครใจเป็นแรงงานด้านการผลิตคอนเทนต์