นางร้องไห้ สุกำศพ ลักพระศพ พระโกศ โบราณราชประเพณีจากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ใน ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย
- หนังสือ ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย รวบรวมขั้นตอนและรายละเอียดของโบราณราชประเพณีที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน แต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายและแฝงด้วยความหมายกับคติความเชื่อต่างๆ ในแต่ละยุคสมัย
 - บางธรรมเนียมได้ยกเลิกไปแล้ว เช่น นางร้องไห้ และที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน แต่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับยุคสมัย เช่น รูปแบบ ขนาด และวัสดุก่อสร้างของพระเมรุมาศ
 
ธรรมเนียมในการพระราชพิธีพระบรมศพของพระราชวงศ์ชั้นสูง เป็นโบราณราชประเพณีของราชสำนักไทยที่มีแบบแผนและมีหลักฐานเฉพาะ ถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ถือเป็นการถวายพระเกียรติยศซึ่งเต็มไปด้วยขั้นตอนและรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย อีกทั้งยังแฝงด้วยความหมายและคติความเชื่อต่างๆ ในแต่ละยุคสมัย และเรื่องราวทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ใน ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย โดย นนทพร อยู่มั่งมี

หนังสือ ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย โดย สำนักพิมพ์มติชน ได้รวบรวมขั้นตอนและรายละเอียดของโบราณราชประเพณีอย่างละเอียดตั้งแต่ ลำดับพระยศเจ้านาย การสรงน้ำพระบรมศพและพระศพ การสุกำศพ (การเตรียมห่อและมัดศพเพื่อบรรจุลงโกศหรือหีบศพ) การไว้ทุกข์ การจัดสร้างพระโกศและพระเมรุมาศ และพระเมรุ ตามพระอิสริยยศและพระอิสริยศักดิ์ จนถึงการถวายพระเพลิง และการเก็บรักษาพระบรมอัฐิและพระอัฐิ ทั้งธรรมเนียมที่มิได้ปฏิบัติแล้ว เช่น นางร้องไห้ การโกนผมเมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคต และการลอยพระอังคาร และที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน แต่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับยุคสมัย เช่น การปรับรูปแบบ ขนาด และวัสดุก่อสร้างพระเมรุมาศของพระมหากษัตริย์

ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย พิมพ์ครั้งแรกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2551 ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551 และต่อมาได้มีการตีพิมพ์ครั้งที่ 2 (ฉบับปรับปรุง) ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 ภายหลังการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 โดยได้เพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับ “ธรรมเนียมลักพระศพ” ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายพระบรมศพหรือพระศพของเจ้านายบางพระองค์ที่มีปัจจัยบางประการทำให้ไม่สะดวกในการกระทำตอนย่ำรุ่งของวันถวายพระเพลิง อย่างไรก็ตามภาพถ่ายงานพระบรมศพและพระศพของเจ้านายจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้อ้างอิงล่าสุดถึงงานพระเมรุ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ในปี 2555

ในงานพระบรมศพและพระศพมีเครื่องเกียรติยศที่ได้รับพระราชทานและบ่งบอกฐานันดรศักดิ์และชั้นยศและใช้กางกั้นเหนือพระโกศคือ “ฉัตร” โดยฉัตร 9 ชั้น หรือ นพปฎลเศวตฉัตร เป็นชั้นสูงสุดที่ใช้เฉพาะสำหรับพระมหากษัตริย์ผู้ผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเท่านั้น แต่ในพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งสวรรคตเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถวายพระเศวตฉัตร 9 ชั้น กางกั้นพระโกศพระบรมศพและนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ถวายพระเกียรติยศพระบรมวงศ์สูงสุดเทียบเท่าพระมหากษัตริย์เนื่องจากตามฐานันดรศักดิ์ระดับสมเด็จพระบรมราชินีและสมเด็จพระบรมราชชนนีจะได้รับเศวตฉัตร 7 ชั้น
อีกหนึ่งขั้นตอนที่เป็นเรื่องภายในราชสำนักและสลับซับซ้อนคือ “การสุกำศพ” ซึ่งหากเปรียบเทียบกับสามัญชนทั่วไปคือขั้นตอนการแต่งตัวให้ศพ ห่อผ้าขาวและมัดตราสังลงหีบศพ ในหนังสือได้นำเสนอหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับการสุกำศพของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยอยุธยาจาก คำให้การขุนหลวงหาวัด ที่อธิบายพระราชพิธีงานพระบรมศพของ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รวมถึง จดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 ที่กล่าวถึงงานพระบรมศพของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 2 ซึ่งล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงการแต่งตัวให้พระบรมศพด้วย “เครื่องพระมหาสุกำ” ประกอบด้วยพระภูษาหลายชั้นและเครื่องประดับอัญมณีเลอค่ามากมาย จากนั้นทำสุกำพระบรมศพหรือมัดตราสังให้อยู่ในท่านั่งเพื่อบรรจุลงพระโกศซึ่งเป็นภาชนะเครื่องสูงทรงกรวยและมียอดแหลม

การใช้พระโกศบรรจุพระบรมศพและพระศพตามโบราณราชประเพณีครั้งสุดท้ายคือ งานพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2527 หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ สมเด็จย่า และพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา บรรจุลง “พระหีบ” แทนพระโกศ และกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัตินับแต่นั้นเป็นต้นมา ดังจะเห็นได้จากล่าสุดคือ งานพระบรมศพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่เชิญพระบรมศพลงสู่พระหีบและประดิษฐานหลังพระแท่นสุวรรณเบญจดล ซึ่งประกอบด้วยพระโกศทองใหญ่ภายใต้พระเศวตฉัตรเก้าชั้น
พระโกศทองใหญ่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นองค์ที่ 3 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่แทนองค์ที่ 2 ในสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 (องค์แรกสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1) และทำด้วยไม้สักหุ้มทองคำประดับอัญมณีโดยใช้เป็นครั้งแรกในงานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ในปี 2551 ดังนั้นพระโกศทองใหญ่จึงนำมาใช้เป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศและเป็นสัญลักษณ์แห่งพระราชพิธีถวายพระเกียรติสูงสุดสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย ยังได้เขียนถึงธรรมเนียมการแต่งกายเพื่อไว้ทุกข์ในอดีตเมื่อมีงานพระบรมศพหรือพระศพของเจ้านาย หนังสือได้อ้างอิงพระนิพนธ์ของ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ว่าสีดำใช้สำหรับผู้ที่มีอายุแก่กว่าผู้ตาย สีขาวสำหรับผู้อ่อนเยาว์กว่าผู้ตาย และสีม่วงแก่หรือสีน้ำเงินสำหรับผู้ที่มิได้เป็นญาติเกี่ยวดองกับผู้ตา นอกจากนี้การไว้ทุกข์อีกอย่างหนึ่งคือการโกนผมของราษฎรเมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคต หรือผู้ที่อยู่ในสังกัดมูลนายที่เสียชีวิต ต่อมาได้มีการยกเลิกธรรมเนียมนี้ในสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ตามพระราชดำริของพระชนกนาถ (รัชกาลที่ 5) ที่ทรงไม่มีพระราชประสงค์สร้างความเดือดร้อนแก่ราษฎร
การแต่งกายไว้ทุกข์ต่อมาได้ผ่อนปรนลงเหลือไว้เพียงสีดำ และถือปฏิบัติกันสืบมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนระยะไว้ทุกข์ในอดีตอาจกำหนดตั้งแต่ 15 วัน จนถึง 1 ปี ตามฐานันดรศักดิ์ และในปัจจุบันนี้สำนักนายกรัฐมนตรีกำหนดแนวทางปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องกับงานพระบรมศพพระบรมราชชนนีพันปีหลวงโดยให้ข้าราชการไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 ปี ส่วนการแต่งกายไว้ทุกข์และระยะเวลาสำหรับประชาชนทั่วไปให้พิจารณาตามความเหมาะสม


อีกหนึ่งธรรมเนียมในสมัยโบราณเพื่อแสดงความอาลัยคือ “นางร้องไห้” ซึ่งมีหลักฐานปรากฏตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาใน คำให้การขุนหลวงหาวัด กล่าวถึงการจัดงานพระราชพิธีพระบรมศพของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศว่าได้เกณฑ์นางสนมกำนัลมาเป็นนางร้องไห้ควบคู่การประโคมมโหรีปี่พาทย์ ธรรมเนียมนี้สืบต่อมาจนถึงงานพระบรมศพของรัชกาลที่ 5 เป็นครั้งสุดท้ายเนื่องจากรัชกาลที่ 6 ทรงเห็นว่านางร้องไห้เป็นสิ่งรบกวนพระทัยโดยเฉพาะในช่วงที่พระกำลังถวายพระธรรมเทศนาในงานพระบรมศพพระชนกนาถ
พระราชพิธีพระบรมศพของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศ์แม้จะมีการปรับเปลี่ยนธรรมเนียมและรายละเอียดบางอย่างตามยุคสมัยและสภาวะของสังคม แต่ยังคงยึดถือคติทางศาสนาพราหมณ์เรื่องความเป็นสมมุติเทพ การประดิษฐานพระบรมศพบนพระเมรุมาศจึงเปรียบเสมือนการส่งดวงพระวิญญาณเสด็จกลับยังเขาพระสุเมรุอันเป็นที่สถิตของเทพยดาทั้งหลายในไตรภูมิกถา ดังนั้นการสร้างพระเมรุมาศและเครื่องประกอบอื่นๆ สำหรับพระราชพิธีถวายพระเพลิงจึงต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือนานนับปีเพื่อให้เหมาะสมและสง่างามสมพระเกียรติ

พระเมรุมาศในสมัยโบราณนิยมสร้างเป็นยอดปรางค์และมีขนาดใหญ่โตทำด้วยไม้เป็นหลัก เช่น พระเมรุมาศพระบรมศพ สมเด็จพระนเรศวร สูงประมาณ 74 เมตร ส่วนพระเมรุมาศงานพระบรมศพ สมเด็จพระนารายณ์ สูงถึง 102 เมตร ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการยกเลิกทาสและการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและรับมือกับภัยคุกคามจากประเทศมหาอำนาจตะวันตก พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จัดการพระเมรุพระบรมศพของพระองค์ไว้ว่าไม่ต้องใหญ่โตเช่นกาลก่อนด้วยเห็นว่าการเกณฑ์แรงงานตามจารีตเดิมเป็นเรื่องล้าสมัยและไม่เป็นพระเกียรติยศแต่อย่างใดดังความว่า
“แต่ก่อนมา ถ้าพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตลง ก็ต้องปลูกเมรุใหญ่ซึ่งคนไม่เคยเห็นแล้วจะนึกเดาไม่ถูกว่าใหญ่โตเพียงใด เปลืองทั้งแรงคน เปลืองทั้งพระราชทรัพย์ ถ้าจะทำในเวลานี้ก็ดูไม่สมควรกับการที่เปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ไม่เป็นเกียรติยศยืนยาวไปได้เท่าใด ไม่เป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง กลับเป็นความเดือดร้อน ถ้าเป็นการศพท่านผู้ที่มีพระคุณ หรือผู้มีบรรดาศักดิ์ใหญ่อันควรจะได้เป็นเกียรติยศ ฉันก็ไม่อาจจะลดทอนด้วยเกรงว่าคนจะเข้าใจว่า เพราะผู้นั้นประพฤติไม่ดีอย่างหนึ่งอย่างใด จึงไม่ทำการศพให้สมเกียรติยศซึ่งสมควรจะได้ แต่เมื่อถึงตัวฉันเองแล้ว เห็นว่าไม่มีข้อขัดข้องอันใด เป็นข้อคำที่จะพูดได้ถนัด จึงขอให้ยกเลิกงานพระเมรุใหญ่นั้นเสีย ปลูกแต่ที่เผาพอสมควรในท้องสนามหลวง แล้วแต่จะเห็นสมควรกันต่อไป”
รัชกาลที่ 6 ทรงอนุวัตตามรับสั่งของสมเด็จพระบรมชนกนาถ งานพระเมรุพระบรมศพในครั้งนั้นจึงต่างจากธรรมเนียมที่เคยมีมา การใช้ไม้จำนวนมากเป็นส่วนประกอบโครงสร้างหลักถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างเหล็กและมีการออกแบบพระเมรุมาศทรงบุษบกแทนทรงปราสาทยอดปรางค์แต่เดิมสำหรับพระมหากษัตริย์และนับเป็นต้นแบบการสร้างพระเมรุมาศในสมัยต่อมา ดังเช่น พระเมรุมาศของรัชกาลที่ 9 เป็นโครงสร้างเหล็กและมีขนาดสูง 50.49 เมตร ประกอบด้วยอาคารบุษบกจำนวน 9 องค์ โดยองค์ประธานเป็นทรงบุษบกยอดมณฑป

หนังสือฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ได้เพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับธรรมเนียม “การลักพระศพ” ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณสำหรับเจ้านายบางพระองค์โดยเจ้าพนักงานที่รับผิดชอบจะอัญเชิญพระบรมศพหรือพระศพจากที่ประดิษฐานในเวลากลางคืนมายังพระราชยานหรือยานพาหนะเพื่อตั้งขบวนรอเคลื่อนไปยังพระเมรุมาศหรือพระเมรุในตอนเช้า
ธรรมเนียมนี้ได้มีการพูดถึงอีกครั้งในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 9 ด้วยนับตั้งแต่ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนธรรมเนียมการเชิญพระบรมศพหรือพระศพลงในพระหีบแทนพระโกศโดยเริ่มตั้งแต่งานพระบรมศพของสมเด็จย่าเป็นต้นมา เจ้าพนักงานจึงต้องทำการลักพระบรมศพล่วงหน้าไปก่อนในเวลากลางคืนเพื่อประดิษฐานยังพระเมรุมาศที่ท้องสนามหลวงเพื่อเตรียมสำหรับพระราชพิธีถวายพระเพลิง ส่วนพระโกศที่ประดิษฐานบนพระมหาพิชัยราชรถในริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศเป็นสัญลักษณ์แห่งพระราชพิธีถวายพระเกียรติสูงสุด

ในบทสุดท้ายกล่าวถึงธรรมเนียม “การลอยพระอังคาร” โดยระบุว่าในสมัยต้นรัตนโกสินทร์นิยมไปลอยพระอังคารที่วัดปทุมคงคา ด้วยอาจยึดคำว่า “คงคา” ที่พ้องกับแม่น้ำคงคาในอินเดียตามคติพราหมณ์ เช่น พระอังคารของรัชกาลที่ 1 และ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ 3 นอกจากนี้ยังมีวัดยานนาวา เป็นที่ลอยอังคารของ สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับความนิยมในรัชกาลต่อมา
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ยกเลิกธรรมเนียมนี้และเปลี่ยนเป็นการบรรจุพระบรมราชสรีรังคารใต้พุทธบัลลังก์พระประธานในพระอุโบสถของพระอารามสำคัญในรัชกาลแทนและสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ดังเช่น พระบรมราชสรีรังคารของรัชกาลที่ 9 บรรจุใต้ฐานพระพุทธอังคีรส พระประธานภายในพระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และใต้ฐานชุกชีพระพุทธชินสีห์ พระประธานภายในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร
**หมายเหตุ : ภาพประกอบเพิ่มเติมสำหรับบทความ หมายถึง ภาพที่ใช้สำหรับประกอบบทความนี้เท่านั้น ไม่ได้ตีพิมพ์ในหนังสือ “ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย”
Fact File
- ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย
 - ผู้เขียน : นนทพร อยู่มั่งมี
 - สำนักพิมพ์ : มติชน