แรงบันดาลใจจาก “โขนพระราชทาน” สู่ 10 เส้นทางท่องเที่ยวไทย คนรักโขนต้องไปเช็กอินให้ได้สักครั้ง
- การกลับมาของ โขนพระราชทาน ตามขนบมหรสพโบราณที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ได้เป็นเพียงการอนุรักษ์นาฏศิลป์ชั้นสูงไม่ให้สูญหายเท่านั้น แต่ยังเป็นการรื้อฟื้นองค์ประกอบงานศิลป์หลากหลายแขนง
- การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเปิดตัว เส้นทางท่องเที่ยว “รอยยิ้มของแผ่นดิน” (Smile of the Land : Great Smile Grand Moment) ชวนออกเดินทางเที่ยวไทยตามพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
โขน ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หรือ “โขนพระราชทาน” เปิดทำการแสดงครั้งแรกในปี 2550 ด้วยตอน “พรหมมาศ” ซึ่งการกลับมาของโขนตามขนบมหรสพโบราณที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ได้เป็นเพียงการอนุรักษ์นาฏศิลป์ชั้นสูงไม่ให้สูญหายเท่านั้น แต่ยังเป็นการรื้อฟื้นองค์ประกอบงานศิลป์หลากหลายแขนงให้คืนชีพกลับมา ทั้งในด้านวรรณศิลป์ คีตศิลป์ หัตถศิลป์ และวิจิตรศิลป์ รวมทั้งปลุกกระแสโขนให้เป็นมากกว่ามรดกวัฒนธรรม แต่แรงบันดาลใจจากโขนยังส่งต่อสู่เส้นทางท่องเที่ยววัฒนธรรมที่ดึงดูดทั้งชาวไทยและต่างชาติ เช่นเดียวกับ 10 เส้นทางท่องเที่ยวที่ถอดแรงบันดาลใจจากโขนสู่ความสนุกในการเดินทาง…บอกเลยว่าคนรักโขนต้องปักหมุดตามรอยให้ได้สักครั้ง

ชมเบื้องหลัง “โขนพระราชทาน” อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน
แม้ “โขนพระราชทาน” จะเป็นการรื้อฟื้นขนบโขนโบราณจากสมัยกรุงศรีอยุธยาให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง แต่สิ่งที่แตกต่างคือการนำเทคโนโลยีด้านโรงละครสมัยใหม่มาสร้างฉากโขนให้สมจริงและน่าตื่นตาราวกับหลุดมาจากจิตรกรรมฝาผนัง และเมื่อการแสดงโขนในแต่ละปีจบลง ความยิ่งใหญ่ของฉากเหล่านั้นไม่ได้หายไป แต่เก็บรักษาไว้ที่ อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่นี่เป็นทั้งโรงสร้างฉาก และแหล่งเรียนรู้เรื่องราวเบื้องหลังกว่าจะเป็น “โขนพระราชทาน” ที่ประกอบด้วยงานหัตศิลป์ชั้นสูงหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นการทอผ้ายกประดับดิ้นลายต่างๆ การทำเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ หรือศิราภรณ์ ไปจนถึงการทำหัวโขน

แน่นอนว่าฉากเด่นจำนวนมากที่เคยปรากฏโฉมบนเวทีแสดงโขนศิลปาชีพฯ ในปีต่างๆ ถูกเก็บไว้ที่ อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น ฉากหนุมานอมพลับพลาในการแสดงตอน “ศึกไมยราพ” ฉากเรือสำเภาหลวงในการแสดงตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” ท้องพระโรงขนาดใหญ่ รวมถึงประติมากรรมร่างหนุมานขนาด 15 เมตร และประติมากรรมร่างนางผีเสื้อสมุทรขนาดใหญ่ในการแสดงตอน “สืบมรรคา” ซึ่งที่กล่าวมาไม่ได้ถูกนำมาเก็บแบบจัดวางนิ่ง ทว่ามีการนำมาจัดแสดงแบบถาวรด้วยเทคนิคที่ทันสมัย พร้อมแสงสี ทำให้ฉากเหล่านั้นยังคงเคลื่อนไหวได้ราวกับกำลังนั่งดูอยู่ในโรงแสดงโขน และหากโชคดีมาในช่วงที่กำลังจะมีการเตรียมการแสดงโขนประจำปีก็จะมีโอกาสได้เห็นช่างเขียนฉาก โขน กันแบบสมจริง เรียกว่าที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยเพียงหนึ่งเดียวที่รวมองค์ความรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับโขน และประวัติของโขนพระราชทานที่ริเริ่มโดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
การเข้าชม : เปิดวันพุธ-อาทิตย์ เวลา 09.30-16.00 น. ผู้ใหญ่ 150 บาท, นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ราคา 75 บาท (เข้าชมฟรี! 1-30 พฤศจิกายน 2568)
พิกัด : ตั้งอยู่ในพื้นที่ของศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด ริมทางหลวงหมายเลข 347 (ถนนปทุมธานี-บางปะหัน) ตำบลเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ติดต่อ : โทร. 035-352-991

“โขนไทยดูได้ตลอดปี” ศาลาเฉลิมกรุง
โขนไทยดูได้ทุกวันที่ “ศาลาเฉลิมกรุง” โรงมหรสพหลวงและเคยเป็นโรงมหรสพที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดของเอเชีย เปิดทำการเมื่อ พ.ศ.2476 ทั้งยังเป็น “โรงภาพยนตร์แห่งแรกในเอเชีย” ที่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ในอดีตศาลาเฉลิมกรุงจัดฉายภาพยนตร์ต่างประเทศเสียงในฟิล์ม ปัจจุบันเป็นโรงมหรสพหลวง อีกแลนด์มาร์กการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมกับการเปิดการแสดงโขนทุกวันต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยจัดแสดงทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ วันละ 3 รอบ ความยาวรอบละ 25 นาที รอบเวลา 13.00 น. 14.30 น. และ 16.00 น. พิเศษคือทุกรอบมีคำบรรยายภาษาอังกฤษและปรับเรื่องให้กระชับทำให้ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนรุ่นใหม่สนุกกับโขนได้
การเข้าชม : สำหรับคนไทยที่สนใจเข้าชมการแสดงโขน สามารถซื้อบัตรได้ที่จุดจำหน่ายบัตรศาลาเฉลิมกรุง ในราคา 100 บาท (ตอนนี้ศาลาเฉลิมกรุงปิดปรับปรุงและจะกลับมาเปิดการแสดงใน พ.ศ.2569)
พิกัด : ถนนเจริญกรุง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
ติดต่อ : โทร. 02-224-4499

“หัวโขนชั้นครู” พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
อีกพิกัดที่คนรัก โขน ไม่ควรพลาดคือ ห้องนาฏดุริยางค์ (พระที่นั่งทักษิณาภิมุข) หมู่พระวิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ที่นี่เป็นห้องนิทรรศการถาวร จัดแสดงนาฏศิลป์ชั้นสูงในราชสำนัก ซึ่งของที่จัดแสดงแต่ละชิ้นล้วนหาชมยาก และหลายชิ้นก็ไร้คนสืบสาน เช่น หนังใหญ่ชุดพระนครไหว หนังกลางวันที่ทาสีลงบนตัวหนังสำหรับเชิดในเวลากลางวัน หุ่นหลวงที่ซ่อมแซมโดยอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต หุ่นวังหน้าที่ไร้ผู้สืบทอดอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งหัวของหุ่นหลวงพระยารักน้อย พระยารักใหญ่ ที่รัชกาลที่ 2 ทรงแกะจากไม้ด้วยพระองค์เอง

และที่เป็นไฮไลต์ของห้องนี้คือ การรวมหัวโขนที่เป็นเศียรชั้นครูซึ่งมีความประณีตในเชิงช่าง และหลายชิ้นก็ไม่ค่อยได้เห็นที่ไหนมาก่อน โดยเฉพาะเศียรหนุมานประดับด้วยมุกไฟแทนผิวกายสีขาวอายุราว 200 ปี สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยรัชกาลที่ 2 นอกจากนี้ยังมีเทริดโนราห์ที่วางอยู่ตรงกลางเศียรครู ซึ่งนี่คือจิกซอว์ชิ้นสำคัญของประวัติศาสตร์ เพราะหลังจากที่ครูนาฏศิลป์ถูกกวาดต้อนไปพม่าสมัยเสียกรุงครั้งที่ 2 พระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงขอให้ครูโนราห์จากเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นมาสอนโขนหลวงเพื่อฟื้นฟูนาฏศิลป์ชั้นครูให้กลับมา
การเข้าชม : เปิดวันพุธ-อาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น. ค่าเข้าชมชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท นักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป พระภิกษุ สามเณร และนักบวชทุกศาสนา ไม่เสียค่าเข้าชม
พิกัด : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ถนนหน้าพระธาตุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
ติดต่อ : โทร. 02-224-1333 และ 02-224-1402 หรือ Facebook : nationalmuseumbangkok

“เวิร์กช็อปทำหัวโขน” หัวโขน ลูกพระพาย
โขน ไม่ได้จบอยู่แค่หลังม่านการแสดงบนเวทีที่ต้องตีตั๋วชมในโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่โขนยังถูกหยิบมาเป็นหมุดหมายสำคัญของการท่องเที่ยวที่ทำให้ทั้งคนไทยและต่างชาติสนุกและเข้าใจมหรสพชั้นสูงที่สืบต่อมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับโปรแกรม “เวิร์กช็อปทำหัวโขน” ของกลุ่ม “หัวโขน ลูกพระพาย” ซึ่งได้กลายมาเป็นหนึ่งไฮไลต์เส้นทางท่องเที่ยวชุมชนบ้านบุ ที่นักท่องเที่ยวต่างรู้จักดีในฐานะชุมชนทำขันลงหินที่ใกล้จะสูญหาย ทว่านอกจากการเข้าชมขั้นตอนทำขันลงหินแล้ว ในชุมชนยังมีมุมลับๆ ที่เปิดพื้นที่เวิร์กช็อปในบรรยากาศธรรมชาติริมคลองบางกอกน้อย

“ตอนเด็กๆ หลายคนอาจจะเคยถูกผู้ใหญ่ปลูกฝังมาว่า หัวโขนคือของสูง ของมีครู ห้ามจับ ห้ามเล่น แต่เมื่อวัฒนธรรมถูกวางไว้บนที่สูง ยากจะเข้าถึง วันหนึ่งมันก็จะสูญหาย สำหรับผมเองมองว่าวัฒนธรรมมันต้องจับได้ ต้องสัมผัสได้เราถึงจะเข้าใจ และอยากจะสืบสาน และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ผมอยากทำอะไรสักอย่างที่ทำให้คนได้สัมผัสกับวัฒนธรรมแบบเข้าใจง่าย ก็เลยนึกไปถึงของเล่นตอนเด็กที่เป็นชุดแม่พิมพ์ปูนปลาสเตอร์รูปหัวโขนที่ตอนนี้แทบจะหาไม่ได้แล้ว แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เราสนุกกับวัฒนธรรม”

พิชิต บุญจินต์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มหัวโขน ลูกพระพาย ย้อนเล่าถึงที่มาของการเปิดเวิร์กช็อปลงสีหัวโขนไซซ์จิ๋ว ซึ่งพิชิตเองไม่ได้เรียนจบโดยตรงด้านการทำหัวโขน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะพิชิตนึกไปถึงแม่พิมพ์หัวโขนปูนปลาสเตอร์ที่เด็กไทยยุคก่อนคุ้นเคย และหัวโขนปูนปลาสเตอร์นี้เองที่ทำให้เขาหันมาสนใจหัวโขนและชอบศิลปะ จนกระทั่งเขาได้มีโอกาสทำงานด้านเยาวชนและพัฒนาชุมชน เขาจึงนำหัวโขนปูนปลาสเตอร์กลับมาอีกครั้ง และตอนนี้ก็กลายเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวต่างชาติที่อยากจะมีของที่ระลึกให้นึกถึงเมืองไทยแบบที่มีชิ้นเดียวในโลก นั่นก็คือหัวโขนที่พวกเขาลงมือปั้นและลงสีด้วยตัวเอง
การเข้าชม : แนะนำให้ติดต่อจองเวิร์กช็อปล่วงหน้า เพื่อให้ทีมงานเตรียมอุปกรณ์ และเลือกแบบหัวโขน
พิกัด : ซอยจรัญสนิทวงศ์ 32ชุมชนบ้านบุ บางกอกน้อย กรุงเทพฯ
ติดต่อ : โทร. 083-719-3589

“จัดแสดงหัวโขนมากที่สุดในไทย” พิพิธภัณฑ์หัวโขน สวนนงนุชพัทยา
นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้เรื่องพฤกษศาสตร์ชื่อดังของเมืองพัทยาแล้ว สวนนงนุชพัทยายังมีจุดเช็กอินสำหรับผู้ที่ชื่นชอบศิลปวัฒนธรรมไทยกับการเปิด พิพิธภัณฑ์หัวโขน ที่รวบรวมหัวโขนแบบต่างๆ ไว้มากที่สุดในไทยกว่า 500 เศียร ทั้งหัวโขนชุดอนุรักษ์แบบโบราณ หัวโขนบรมครูฤาษี และหัวโขนรามเกียรติ์ สร้างสรรค์โดยทีมช่างฝีมือของสวนนงนุชและใช้เวลากว่า 4 ปี
พิพิธภัณฑ์หัวโขนอยู่ในโซนที่เรียกว่าสวนนงนุช 2 ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้และแยกออกมาจากเส้นทางท่องเที่ยวหลักภายในสวนนงนุช โดยเริ่มดำเนินการสร้างในช่วงกลางปี พ.ศ. 2560 ด้วยงบประมาณกว่า 10 ล้านบาท และเปิดให้บริการเมื่อต้นปี 2565 แรงบันดาลใจในการก่อตั้งเกิดจากการที่ กัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยามีโอกาสไปตกแต่งสวนให้ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้เห็นความวิจิตรของหัวโขนที่ช่างฝีมือของศูนย์ศิลปาชีพฯ ได้รังสรรค์ขึ้นจึงเกิดไอเดียที่จะสร้างหัวโขนให้ได้จำนวนมากที่สุดเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปกรรมไทยชั้นสูงในสวนนงนุช

“ในสวนนงนุชนอกจากจะส่งเสริมให้รักธรรมชาติ รักสัตว์แล้ว ผมอยากเสริมศิลปะไทยเข้าไปด้วยเพื่อให้เราภาคภูมิใจในความเป็นไทยและมรดกวัฒนธรรมที่เรามี เราก็ค่อยๆ ทำทีละนิดๆ โดยใช้เวลา 4 ปีกว่าในการค่อยๆ สร้างหัวโขนแต่ละเศียร ผมต้องการให้เป็นที่ที่รวบรวมหัวโขนไว้ได้มากที่สุดในโลก” กัมพลกล่าวถึงแรงบันดาลใจในการสร้างพิพิธภัณฑ์หัวโขน
ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ประดับด้วยประติมากรรมปูนปั้นขนาดสูง 4 เมตร รูปหนุมานอมพลับพลา ในตอน “ศึกไมยราพ” ส่วนบริเวณภายในเป็นห้องโถงขนาดใหญ่เรียงรายด้วยตู้กระจกที่ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นจำนวน 121 ตู้ ที่จัดแสดงหัวโขน โดยหัวโขนของที่นี่เป็นขนาดสำหรับสวม หรือที่เรียกว่า “หัวใหญ่” และทั้งหมดได้รับการรับรองจาก อาจารย์ธนธรณ์ คุงจำรัส ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งหัวโขนบ้านพรพิราพและเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยในวัง (ศาลายา)

หัวโขนชุดอนุรักษ์แบบโบราณมีจำนวน 24 เศียร สร้างตามขั้นตอนแบบโบราณด้วยโครงกระดาษสาปิดทับหลายชั้นลงบนหุ่นปูนปลาสเตอร์ที่เคลือบดินสอพอง เช่น หัวโขนรูปพระอิศวร ซึ่งเป็นเศียรแรกที่พิพิธภัณฑ์สร้าง หัวโขนพระพิฆเนศ หัวโขนพระราม และพระลักษมณ์ ส่วนหัวโขนพ่อแก่หรือฤษีมีจำนวนทั้งสิ้น 108 เศียรตามตำนานฤษี 108 ตน เช่น ฤษีสุเมธ ประดับตกแต่งด้วยปีกแมลงทับจากศูนย์ศิลปาชีพบางไทร และฤษีพรหมปรเมศฎ์ ตกแต่งด้วยกรรมวิธีการเขียนทองลงยาแบบโบราณของสุโขทัย
ส่วนหัวโขนรามเกียรติ์มีจำนวนทั้งสิ้น 374 เศียร ไฮไลต์คือ หัวโขนทศกัณฐ์ 3 เศียร พระรามตอนเดินดงและออกบวช หนุมานตอนบวชและแผลงฤทธิ์ นอกจากนี้ยังมีหัวโขนที่เป็นตัวละครสัตว์ต่างๆ ในรามเกียรติ์ เช่น หัวโขนปู เป็นตอนที่ทศกัณฐ์ต้องการแก้แค้นพญาพาลีที่แย่งนางมณโฑไปจนให้กำเนิดลูกชายชื่อองคต ทศกัณฐ์จึงแปลงกายเป็นปูเพื่อรอฆ่าองคตในพิธีสรงน้ำ และหัวโขนตุ๊กแก เล่าเรื่องยักษ์วิรุฬหก นอกจากนี้ยังมีห้องสาธิตงานผลิตหัวโขน ห้องเขียนลาย และตกแต่งหัวโขน ให้ผู้สนใจได้ชมขั้นตอนการสร้างสรรค์อีกด้วย
การเข้าชม : บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์หัวโขน ราคาคนละ 200 บาท และสำหรับหมู่คณะจำนวน 30 คนขึ้นไปราคาคนละ 150 บาทพร้อมวิทยากรนำชม (ต้องนัดหมายล่วงหน้า) เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.30 น.
พิกัด : ตั้งอยู่ภายในสวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี ในโซนศูนย์เรียนรู้ที่เรียกว่าสวนนงนุช 2
ติดต่อ : โทร. 081-919 2153 หรือ 038-415-145

“จิตรกรรมรามเกียรติ์ที่สมบูรณ์ที่สุดในไทย” วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่รู้จักกันในนาม วัดพระแก้ว ถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมงานศิลปะวังหลวงในแบบฉบับของกรุงรัตนโกสินทร์แทบจะทุกแขนง และสำหรับผู้ที่สนใจจิตรกรรมฝาผนัง ที่วัดพระแก้วแห่งนี้มีจิตรกรรมฝาผนังที่โดดเด่นด้วยเนื้อหาของรามเกียรติ์ที่วาดเต็มผนังตลอดระเบียงคด ซึ่ง รามเกียรติ์ เป็นวรรณกรรมที่ได้รับอิทธิจาก “มหากาพย์รามายณะ” ของอินเดียและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ รวมทั้งยังถูกนำมาเป็นเนื้อหาในการแสดงโขน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่1 ได้พระราชนิพนธ์ รามเกียรติ์ ขึ้นเพื่อรวบรวมวรรณกรรมแห่งยุคตั้งแต่ต้นจนจบอย่างสมบูรณ์ ถัดมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงให้ช่างเขียนจิตรกรรมเล่าเรื่องรามเกียรติ์ตามพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 ลงบนระเบียงคดวัดพระแก้วเป็นครั้งแรกและซ่อมแซมครั้งสุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ 9 คราวพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี

สำหรับ รามเกียรติ์ บนระเบียงคดวัดพระแก้วนั้น ได้รับการยกย่องให้เป็นจิตรกรรมฝาผนังที่ยาวที่สุดในโลก แบ่งการเขียนภาพออกเป็นห้องๆ ทั้งหมด 178 ห้อง ถือเป็นจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง รามเกียรติ์ ที่สมบูรณ์ที่สุดในไทย และในการแสดงโขนพระราชทานก็มีการหยิบจับเอาจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้มาสร้างเป็นฉาก โดยเฉพาะฉากหนุมานอมพลับพลา ตอน “ศึกมัยราพณ์”รวมทั้งยังมีการถอดท่าทางการยกทัพสู้รบจากจิตรกรรมมาไว้บนเวทีการแสดงอีกด้วย ใครที่ประทับใจฉากรามเกียรติ์จากโขนพระราชทาน สามารถตามรอยมาชมต้นทางของแรงบันดาลใจได้ที่วัดพระแก้ว
การเข้าชม : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น. (คนไทยเข้าชมฟรี)
พิกัด : ถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร กรุงเทพฯ
ติดต่อ : www.royalgrandpalace.th

“โรงกระดาษข่อยโบราณหนึ่งเดียวในไทย” ศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทอง
ศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทอง จังหวัดอ่างทอง เป็นแหล่งผลิต “กระดาษข่อยแบบโบราณ” เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ยังอนุรักษ์การทำกระดาษแบบโบราณทุกขั้นตอน และกระดาษข่อยของที่นี่ยังใช้ในการผลิตหัวโขนตามขนบช่างโบราณสำหรับการแสดงโขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งถือกำเนิดโดยสายพระเนตรอันยาวไกลของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
“ศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทองเริ่มรื้อฟื้นและอนุรักษ์การทำกระดาษข่อยแบบโบราณเมื่อ พ.ศ.2558 เพื่อใช้ในการทำหัวโขนตามอย่างที่ใช้กันดั้งเดิมตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กระดาษข่อยมีคุณสมบัติทนทาน ปลวกมอดไม่กิน และน้ำหนักเบา ทีมงานได้รับการฝึกฝนทักษะและฝีมือภายใต้การเคี่ยวกรำของอาจารย์สุดสาคร ชายเสม และกระดาษข่อยที่เราทำมีออร์เดอร์เรื่อยๆ มาจากออร์เดอร์ทางศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มีคนสนใจสั่งซื้อกระดาษไปใช้ในการอนุรักษ์ ใช้วาดรูป หรือทำเป็นสมุดข่อยหลายๆ ขนาด” ภัทรจาริน พงษ์พัฒน์ หัวหน้าแผนกโขนของศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทอง กล่าว

ภายในศูนย์ฯ ปลูกต้นข่อยไว้กว่า 100 ต้น คุณสมบัติที่ดีของข่อย คือ ยางที่เหนียวทำให้เนื้อเยื่อเกาะกันได้ดี เมื่อนำมาทำกระดาษจึงเหนียวและไม่ฉีกขาดง่าย กระบวนการผลิตกระดาษข่อยมีหลายขั้นตอนต้องใช้แรงกายและความอดทนอย่างมาก เพราะผลิตมือทุกขั้นตอน เริ่มจากนำต้นข่อยมาลอกและฉีกเป็นเส้นบางๆ และนำเนื้อเยื่อที่ได้ไปหมักในโอ่งที่ผสมปูนขาวและแมกนีเซียมเป็นเวลาอย่างน้อย 10 วัน เพื่อให้เยื่อข่อยนุ่ม จากนั้นนำไปล้างและต้มด้วยฟืนเป็นเวลาร่วม 1 สัปดาห์ เพื่อให้เนื้อเยื่อเปื่อยและดึงขาดง่าย ส่วนขั้นตอนที่ใช้แรงมากที่สุดคือการทุบเยื่อข่อยที่เริ่มเปื่อยให้แหลกละเอียดด้วยค้อนไม้บนเขียงไม้ตะเคียนขนาดยาว
เมื่อทุบละเอียดได้ที่แล้วจะนำไปผสมกับน้ำเปล่า จากนั้นใช้พะแนงซึ่งเป็นแม่พิมพ์กรอบไม้บุด้วยผ้ามุ้งวางลงในรางน้ำและนำเยื่อข่อยลงละลายในพะแนงเกลี่ยแผ่ให้เต็มเสมอกัน เมื่อเกลี่ยได้เรียบแล้วยกขึ้นตาก เมื่อแห้งแล้วจึงนำกระดาษที่ได้ไปผ่านการกรวดกระดาษ คือรีดให้เรียบโดยใช้เปลือกหอยสังข์หรือหินแม่น้ำขนาดใหญ่เหมาะมือ จากนั้นเคลือบกระดาษด้วยกาวแป้งเปียกที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า เพื่อทำให้กระดาษแข็งและเขียนได้ดี

สำหรับกระดาษข่อยที่ใช้ในการทำหัวโขนหรือเรียกว่า “กระดาษเพลา” หัวโขน 1 หัวใช้กระดาษเพลาประมาณ 30 แผ่น และใช้เวลาประมาณ 4 เดือนจึงแล้วเสร็จทุกขั้นตอน ขั้นตอนการทำเริ่มจากฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กๆ และทาด้วยกาวแป้งเปียก เพื่อติดลงบนหุ่นปูนปลาสเตอร์ที่เคลือบดินสอพองไว้แล้ว เมื่อแปะกระดาษรอบหุ่น 1 รอบ จะใช้แท่งไม้กรวดให้ผิวเรียบเสมอกัน เมื่อเสร็จแล้วถอดหัวโขนจากหุ่นและลงรักอีก 2-3 ชั้น เพื่อกันปลวกและแมลงและผึ่งลมให้แห้ง จากนั้นปั้นโครงหน้าโดยใช้ “สมุก” ที่ทำได้จากการนำก้านกล้วยมาเผาและผสมกับยางรักและเยื่อข่อยแบบละเอียดและตำให้เนียนละเอียด เมื่อปั้นโครงหน้าเสร็จและปล่อยให้แห้งจะติดทับอีกชั้นด้วยกระดาษข่อยแบบบางเหมือนกระดาษทิชชู จากนั้นเขียนลายหน้า ติดลวดลาย ปิดทอง ติดพลอยและกระจก และเขียนสี
“การทำหัวโขนแบบดั้งเดิมโดยใช้กระดาษข่อยทั้งหมด ราคาค่อนข้างสูง หลายคนจึงใช้เรซิน หรือกระดาษอื่นที่ราคาถูกกว่า เช่น กระดาษสา แต่หัวโขนที่ทำจากกระดาษข่อยและลงรักจะมีความแข็งแรงทนทาน น้ำหนักเบา และอยู่ได้เป็นร้อยปี”
นอกจากแผนกหัวโขนและกระดาษข่อยแล้ว ทางศูนย์ฯ ยังมีแผนกทอผ้าที่สาธิตการทอผ้ายกเมืองนคร ที่ใช้ในการสร้างสรรค์ชุดสำหรับการแสดงโขนมูลนิธิฯ รวมทั้งแผนกเซรามิกและแผนกเครื่องปั้นดินเผาอีกด้วย
การเข้าชม : ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-16.00 น. แต่แนะนำให้ติดต่อล่วงหน้าหากต้องการชมกระบวนการผลิตกระดาษข่อยเนื่องจากวัตถุดิบบางอย่างอาจไม่พร้อมในทุกวันทำการ
พิกัด : ตำบลสีบัวทอง อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง
ติดต่อ : โทร. 081-529 2661 (อาจารย์ธนันญา โพธิวรรณ์) หรือ https://www.facebook.com/sibuathongth

“แหล่งทอผ้ายกโขน” ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง
การกำเนิดขึ้นของโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หรือโขนพระราชทาน โดย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไม่ใช่แค่การรื้อฟื้นโขนไทยตามขนบโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยาให้กลับคืนมาเท่านั้น แต่ยังเป็นการคืนชีพงานหัตถศิลป์โบราณหลากหลายแขนงที่เกี่ยวเนื่องกับโขน และหนึ่งในนั้นก็คือ “ผ้ายกนครฯ” ที่ทอและใช้สำหรับนำมาทำชุดโขนพระราชทานโดยเฉพาะ จนมีชื่อเรียกติดปากว่า “ผ้าโขน”

สำหรับโขนโดยทั่วไปที่ไม่ได้มีทุนในการจัดแสดงสูง มักจะลดความประณีตในการปักผ้า บ้างก็ใช้ผ้าแข็ง หนา ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแสดง ต่อเมื่อมีการก่อตั้งโขนพระราชทาน สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงจึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ผู้เชี่ยวชาญฟื้นฟูเครื่องแต่งกายโขนโบราณให้กลับคืนมา โดยทรงเลือกใช้ “ผ้ายก” จากศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง และศูนย์ศิลปาชีพบ้านตรอกแค ซึ่งมีคุณภาพดีกว่าผ้ายกจากอินเดียที่ราชสำนักไทยโบราณนิยมกัน รวมทั้งมีโครงสร้างสีที่นิ่มนวล ไม่ฉูดฉาดเหมือนผ้ายกอินเดีย ซึ่งหากไม่มีการรื้อฟื้นการทอผ้ายกนครฯ มาทำผ้าโขน ก็อาจจะทำให้ผ้ายกแบบโบราณของเมืองนครศรีธรรมราชสูญหายไปแล้ว

“ที่ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง เราทอทั้งผ้าทั่วไปและผ้าโขน ที่จะส่งสำหรับตัดชุดโขนโดยเฉพาะ ซึ่งปีหนึ่งจะทอส่งประมาณ 30 ผืน ที่เราทำได้น้อย เพราะแต่ละผืนต้องใช้เวลาทอเป็นเดือน ผ้ายกผืนหนึ่งต้องใช้คนทอถึง 6 คน วันหนึ่งทอได้ประมาณ 4-5 เซนติเมตร ถ้าไม่ได้ทอให้กับทาง “โขนพระราชทาน” ผ้ายกที่ใช้เทคนิคโบราณแบบนี้ก็อาจจะสูญหายไปแล้ว”
กฤษกร ม้าแก้ว ประธานกลุ่มทอผ้า ย้ำถึงความสำคัญของ “โขนพระราชทาน” ที่ทำให้การทอผ้ายกแบบโบราณได้รับการฟื้นฟูขึ้นมา พร้อมกับการก่อตั้งศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมังใน พ.ศ. 2535 เพื่อแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกร จากเดิมที่เน้นไปที่การแปรรูปกระจูดที่หาได้ง่ายในพื้นที่ การปักผ้า และการทอผ้าฝ้าย ก็ขยายมาเป็นการทอผ้ายกแบบราชสำนักนครศรีธรรมราช ที่สูญหายไปกว่า 100 ปี และนำมาใช้แทนผ้ายกอินเดียในการตัดเย็บชุดการแสดงโขน
การเข้าชม : ติดต่อล่วงหน้าหากต้องการชมกระบวนการทอผ้ายก
พิกัด : ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
ติดต่อ : โทร. 084-526-0558 (กฤษกร ม้าแก้วประธานกลุ่มทอผ้า)

“ผ้ายกโบราณเมืองนคร” วิสาหกิจชุมชนกนกศิลป์ผ้าทอ
วิสาหกิจชุมชนกนกศิลป์ผ้าทอ เป็นกลุ่มช่างฝีมือทอผ้าที่สืบสาน “ผ้ายกเมืองนคร” ซึ่งเป็นมรดกหัตถศิลป์ล้ำค่าของชาวนครศรีธรรมราช ด้วยเทคนิคการทอและลวดลายที่สลับซับซ้อน ประณีต และสวยงาม พร้อมกับต่อยอดด้วยการพัฒนากี่ทอผ้าที่เรียกว่า “กี่แจ็กการ์ดทอมือ” เพื่อช่วยลดแรงและย่นระยะเวลาการทอผ้าแต่ยังคงรักษาลวดลายการทอแบบดั้งเดิม

ภาณุพงศ์ ปานเผือก ประธานวิสาหกิจชุมชนกนกศิลป์ผ้าทอ กล่าวว่าจุดเริ่มต้นเกิดจากแม่ของเขาผู้ก่อตั้งร้านขายและผลิตผ้าชื่อว่า ร้านกนกศิลป์นคร และเป็นหนึ่งในสมาชิกศูนย์ศิลปาชีพบ้านตรอกแค ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคนิคการทอผ้ายกเมืองนคร หรือ “ผ้าโขน” ตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อฟื้นฟูและรักษาภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมที่มีมาแต่โบราณให้คงอยู่สืบไป ภาณุพงศ์ในฐานะทายาทรุ่นที่ 2 จึงได้เรียนรู้ทักษะการทอผ้าจากแม่และร่วมทำงานกับ อาจารย์จันทรา ทองสมัคร และทีมวิจัยการฟื้นฟูผ้ายกเมืองนครจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ในการสืบค้นและถอดแบบลวดลายผ้าโบราณจากภาพถ่ายเก่าและผ้าโบราณที่จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์เมืองนครศรีธรรมราช

“ในอดีตผ้ายกเมืองนครเป็นผ้าที่ใช้เฉพาะเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชและภายในราชสำนักจึงมีลวดลายและเทคนิคการทอที่ยากและสลับซับซ้อน การทอยกเพิ่มลวดลายด้วยเส้นพุ่งพิเศษทำให้เกิดลายนูนที่เป็นเอกลักษณ์บนผืนผ้าและมีลายเชิงผ้าหลายชั้น เช่น ลายลูกขนาบ ลายหน้ากระดาน ลายช่อแทงท้อง และลายสร้อย จากนั้นต่อด้วยลายท้องผ้าซึ่งจะเป็นลายไม่ซ้ำกับลายเชิงและจบด้วยลายเชิงอีกด้านหนึ่ง ด้วยลายเชิงที่มีหลายชั้นทำให้บางลายมีถึง 700-800 ตะกอ (อุปกรณ์ใช้สำหรับแยกเส้นไหมยืนขึ้นลงให้ขัดกับด้ายพุ่ง) ซึ่งยิ่งจำนวนตะกอที่มากขึ้นจะยิ่งทำให้การทอซับซ้อนมากขึ้น”
การทอด้วยกี่ทอมือแบบโบราณจึงต้องมีผู้ช่วยอย่างน้อย 2 คนในการเปลี่ยนตะกอเวลาทอผ้าทำให้กว่าจะได้ผ้าแต่ละผืนใช้เวลาร่วมเดือน ภาณุพงศ์ซึ่งสำเร็จการศึกษาในสาขาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช จึงใช้เวลาร่วม 6 ปี ในการศึกษาค้นคว้าและทดลองจนสามารถประดิษฐ์กี่แจ็กการ์ดทอมือได้สำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งยังเป็นการทอผ้าด้วยแรงงานช่างฝีมือ แต่มีกลไกช่วยในการเปิดตะกอตามจังหวะที่เหยียบทำให้สามารถทอผ้าคนเดียวได้โดยไม่ต้องมีผู้ช่วยและย่นระยะเวลาจากปกติใช้เวลาราว 1 เดือนต่อผ้า 1 ผืน เหลือเพียงประมาณ 1 สัปดาห์

ลวดลายผ้ายกเมืองนครแบบโบราณยังได้รับการสานต่อ เช่น ลายเกล็ดพิมเสนแบบเพชรเจียระไนและแบบข้าวหลามตัด ลายพิกุลดอกลอย และลายพิกุลก้านแย่ง นอกจากนี้ภาณุพงศ์ยังได้ศึกษาลายไทยแบบต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนาเป็นลายสำหรับการทอแบบผ้ายกเมืองนคร เช่น ลายพุดตานก้านแย่ง ลายเบญจมาศ และลายดอกไม้ร่วง อีกทั้งออกแบบลายพิเศษตามความต้องการของลูกค้า เช่น ลายนครอมรศิลป์ สำหรับสำนักวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช และลายหัวนะโม สำหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
ภาณุพงศ์ใช้พื้นที่ภายในบริเวณร้านกนกศิลป์นครของครอบครัวเพื่อจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนกนกศิลป์ผ้าทอ เมื่อ พ.ศ. 2565 เพื่อส่งเสริมการทอผ้ายกนครภายในชุมชนและปัจจุบันมีจำนวนสมาชิก 10 คน ปัจจุบันทางกลุ่มมีกี่แจ็กการ์ดทอมือจำนวน 2 หลัง หลังหนึ่งสำหรับทอผ้ายกฝ้ายและอีกหลังสำหรับทอผ้ายกไหม ผ้าทอมีหน้ากว้าง 1 เมตร ส่วนความยาวแล้วแต่ความต้องการของลูกค้า หากตัดเป็นผืนจะมีความยาว 2 หลา และ 2 เมตร โดยราคาขายอยู่ที่ 4,500 บาทต่อหลาสำหรับผ้าไหม และ 2,200 บาทต่อเมตรสำหรับผ้าฝ้าย
การเข้าชม : ผู้สนใจสามารถชมการทอผ้ายกเมืองนครโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในวันจันทร์-เสาร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.
พิกัด : ตำบลขอนหาด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช
ติดต่อ : โทร. 087-283-6370

“ผ้าราชสำนักไทยโบราณ” พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ยกให้เป็นพิพิธภัณฑ์ผ้าที่ดีที่สุดในไทยสำหรับ พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตั้งอยู่ริมกำแพงพระบรมมหาราชวังด้านทิศเหนือ ติดกับประตูวิเศษไชยศรี จัดแสดงประวัติศาสตร์ผ้าไทย พร้อมห้องอนุรักษ์ผ้า และห้องสมุดที่อัดแน่นความรู้เรื่องผ้าและแฟชั่น ด้านในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงทั้งนิทรรศการหมุนเวียนเกี่ยวกับผ้าไทย รวมทั้งพระราชกรณียกิจของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงยกระดับการทอผ้าไทยและอนุรักษ์การทอผ้าของชุมชนต่างๆ
ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนใน 3ห้องนิทรรศการ เริ่มจากนิทรรศการ ชุดไทย : จากราชสำนักสู่ราชนิยม (Chud Thai: Dressing the Nation in Heritage) พาย้อนไปยังปี พ.ศ.2503 เมื่อครั้งที่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป พระองค์ทรงตระหนักว่า การปรากฏพระองค์เปรียบเสมือนตัวแทนของคนทั้งชาติ แต่ในขณะนั้นสตรีไทยยังไม่มีการแต่งกายที่เป็นแบบแผนและแสดงเอกลักษณ์ของชาติที่ชัดเจน พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จัดทำเครื่องแต่งกายที่สะท้อนความเป็นไทยและมีความร่วมสมัย พร้อมให้ผู้เชี่ยวชาญศึกษารูปแบบการแต่งกายของสตรีไทยในราชสำนักโบราณ ประยุกต์เข้ากับเทคนิคการตัดเย็บสมัยใหม่ และทรงออกแบบชุดไทยที่สวมใส่ได้สะดวกเข้ายุคสมัย จึงเป็นที่มาของไทยพระราชนิยม 8 แบบ

อีกห้องคือนิทรรศการคือ “สิริราชพัสตราบรมราชินีนาถ” เผยแพร่พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผ่านฉลองพระองค์ในช่วงเวลาต่างๆ ซึ่งหลายชุดเป็นภาพจำของพระองค์ ที่หลายคนเคยเห็นตามสิ่งพิมพ์ต่างๆ ห้องนี้มีทั้งฉลองพระองค์ที่ทรงให้ดีไซเนอร์ชาวต่างชาติออกแบบและฉลองพระองค์ที่ห้องเสื้อชาวไทยออกแบบ

นิทรรศการสุดท้ายคือ “ราชภูษิตาภรณ์สยาม” จัดแสดงฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รวมทั้งพระภูษาเศวตพัสตร์ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของรัชกาลที่ 9 และที่หาชมไม่ได้บ่อยนักคือผ้าในราชสำนักประเภทต่างๆ เช่น ผ้าเยียรบับ ผ้าเข้มขาบ ผ้าอัตลัด ผ้าลายอย่าง ผ้าปูม รวมทั้ง ผ้ายก ที่เป็นผ้าเฉพาะสำหรับการแสดง โขน แบบโบราณอีกด้วย
การเข้าชม : เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. เฉพาะวันเสาร์ ปิดให้บริการ 16.00 น. ค่าเข้าชม 150 บาท นักเรียน นักศึกษา 50 บาท ผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) 80 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เข้าชมฟรี
พิกัด : หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง ถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร กรุงเทพ
ติดต่อ : โทร. 02-225-9431 www.qsmtthailand.org
Fact File
นอกจากแรงบันดาลจาก “โขนพระราชทาน” สู่ 10 เส้นทางท่องเที่ยวแล้ว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังมีเส้นทางท่องเที่ยว “รอยยิ้มของแผ่นดิน” (Smile of the Land : Great Smile Grand Moment) ชวนออกเดินทางเที่ยวไทยตามพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ธรรมชาติ และชุมชน เพื่อถ่ายทอดพระเมตตา พระปรีชาญาณ และแรงบันดาลใจจากพระองค์สู่ประชาชนทั้งไทยและชาวต่างชาติ สามารถติดตามเส้นทางท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ Facebook, เว็บไซต์, TikTok และ Instagram ของ Amazing Thailand, 1672 Travel Buddy, ข่าวสารท่องเที่ยว ททท. และ อนุสาร อ.ส.ท. หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1672 Travel Buddy