The Radar 2025 : ที่สุดนิทรรศการแห่งปี ศิลปินระดับโลก มังงะ ไดโนเสาร์ วรรณกรรม ถึงประวัติศาสตร์
Lite

The Radar 2025 : ที่สุดนิทรรศการแห่งปี ศิลปินระดับโลก มังงะ ไดโนเสาร์ วรรณกรรม ถึงประวัติศาสตร์

Focus
  • ในปี 2025 เป็นปีที่ศิลปินชื่อดังระดับโลก และนิทรรศการระดับโลกต่างปักหมุดเดินทางมาจัดแสดงยังประเทศไทย เช่น ปรากฎการณ์ผู้คนมุ่งสู่ท้องสนามหลวงเพื่อชมประติมากรรม Companion ไซส์ยักษ์ความสูง 18 เมตรของศิลปิน KAWS หรือจะเป็นโดราเอมอนและผองเพื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา
  • นอกจากนิทรรศการระดับโลกแล้ว ในปีนี้ยังเป็นปีที่คนไทยได้แสดงฝีมือในการจัดนิทรรศการใหญ่ เช่น เจ้าชายน้อย เด็กหนุ่มผมสีทองจากดาวเคราะห์น้อย B612 ที่กลับมาเยือนโลกอีกครั้งพร้อมข้อคิดเชิงปรัชญา รวมไปถึงการฟื้นคืนชีพของไดโนเสาร์สายพันธุ์ไทย

แม้ปี 2025 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่หนักหน่วงสำหรับคนไทยทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และ ภัยพิบัติ แต่อีเวนต์ด้านศิลปวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ที่ยังคงจัดต่อเนื่องมีให้เลือกชมตลอดปี นับเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับว่าช่วยฮีลใจผู้คนได้ไม่น้อย Sarakadee Lite จึงขอรีแคป นิทรรศการ แห่งปี 2025 ที่เราเลือกว่าเป็น The Radar 2025 ไม่ว่าจะเป็นปรากฎการณ์ผู้คนมุ่งสู่ท้องสนามหลวงเพื่อชมประติมากรรม Companion ไซส์ยักษ์ความสูง 18 เมตรของศิลปิน KAWS โดราเอมอนและผองเพื่อนที่เปิด “ประตูไปที่ไหนก็ได้” เพื่อนำรอยยิ้มมาให้คนไทย เจ้าชายน้อย เด็กหนุ่มผมสีทองจากดาวเคราะห์น้อย B612 ที่กลับมาเยือนโลกอีกครั้งพร้อมข้อคิดเชิงปรัชญา รวมไปถึงการฟื้นคืนชีพของไดโนเสาร์สายพันธุ์ไทยและเหล่าสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เคยอาศัยอยู่บนแผ่นดินสยาม และนิทรรศการของเก่าสะสมของ วีรวิชญ์ ฟูตระกูล นักสะสมและอินฟลูเอนเซอร์ ที่พิสูจน์แล้วว่าประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเรื่องน่าเบื่อแต่อยู่ที่ว่าจะสื่อสารอย่างไร

นิทรรศการ

ปรากฎการณ์ Companion บุกสนามหลวง

เรียกได้ว่า เล่นใหญ่ใจถึง กับการปรากฏตัวครั้งแรกในไทยของ Companion ประติมากรรมกลางแจ้งฟิกเกอร์ความสูง 18 เมตร ของ KAWS (คอวส์) หรือ ไบรอัน ดอนเนลลี ศิลปินร่วมสมัยชาวอเมริกันชื่อดัง ที่ติดตั้งอยู่กลางสถานที่ประวัติศาสตร์สนามหลวงพร้อมกับฉากหลังเป็นความอลังการอร่ามเรืองรองของแลนด์มาร์กสำคัญของไทยอย่างพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้ว

นิทรรศการ

แม้ นิทรรศการ KAWS:HOLIDAY THAILAND จะจัดเพียงระยะเวลาสั้นๆ ระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม-25 พฤษภาคม 2568 แต่สร้างปรากฎการณ์ให้ผู้คนต้องไปเช็คอินที่สนามหลวงจนเต็มหน้าฟีดโซเชียลโดยมีฉากหลังเป็นฟิกเกอร์คาแรกเตอร์ดวงตากากบาทซิกเนเจอร์ของ KAWS นั่งอยู่บนโลกและโอบอุ้มดวงจันทร์พร้อมด้วย “สมอลเลอร์ คอมพาเนียน” (Smaller Companion) ที่มีขนาดเล็กกว่าพักผ่อนอยู่บนตัก

นิทรรศการ
ไบรอัน ดอนเนลลี

หัวใจสำคัญของโปรเจกต์นี้ไม่ใช่การจัดแสดงนิทรรศการศิลปะแต่ต้องการเชิญชวนให้ทุกคนได้มาพักผ่อน ดื่มด่ำกับภูมิทัศน์อันเปี่ยมไปด้วยความหมาย ที่ผ่านมา KAWS ได้ร่วมมือกับ All Rights Reserved ออกแบบโปรเจ็กต์ KAWS:HOLIDAY นำคาแรคเตอร์ KAWS มาขยายเป็นประติมากรรมขนาดใหญ่ตั้งแต่ 10 เมตร ไปจนถึงเกือบ 30 เมตร ในวัสดุที่หลากหลาย ติดตั้งกลางแจ้งตามสถานที่แลนด์มาร์กทั้งกลางน้ำ กลางป่า กลางหิมะ เริ่มต้นใน ค.ศ. 2018 ที่กลางทะเลสาบ Seokchon ในกรุงโซลเกาหลีใต้ และที่ได้รับการพูดถึงมากก็คือการติดตั้งงานบริเวณกลุ่มเทวสถานปรัมบานัน (Prambanan) มรดกโลกของอินโดนีเซีย และ กลางป่าฉางไป่ซานของจีน  สำหรับประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 13 ที่ KAWS:HOLIDAY มาจัดแสดงและได้รับความสนใจไปทั่วโลกเช่นเดียวกัน

นิทรรศการ

เจ้าชายน้อยอิมเมอร์ซีฟแบบไทยทำถึงพึ่งได้

The Little Prince Universe – An Immersive Journey เป็น นิทรรศการ ที่นำวรรณกรรมคลาสสิคเรื่อง เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) จากปลายปากกาของนักบินและนักเขียนชาวฝรั่งเศส อองตวน เดอ แซงเตกซูเปรี (Antoine de Saint-Exupéry) มานำเสนอในรูปแบบดิจิทัลอิมเมอร์ซีฟเต็มรูปแบบครั้งแรกในเมืองไทย และยังเป็นออริจินัลโชว์ที่สร้างสรรค์โดยทีมงานคนไทยของ Mad Motion Studio ก่อตั้งโดย แคทรีน อมตวิวัฒน์ ซึ่งเธอทุ่มสุดตัวสำหรับโปรเจกต์นี้เพื่อนำวรรณกรรมในดวงใจมาโลดเล่นในรูปแบบอิมเมอร์ซีฟเพื่อพิสูจน์ว่าทีมคนไทยก็มีความสามารถทำโชว์แบบนี้ได้โดยไม่ต้องซื้อลิขสิทธ์โชว์จากต่างประเทศ

แคทรีนใช้เวลาร่วมปีในการศึกษาและดูงานนิทรรศการอิมเมอร์ซีฟต่างๆ ในประเทศและต่างประเทศเพื่อหาเทคนิคและเทคโนโลยีที่ลงตัวกับเนื้อเรื่องและประสบการณ์ที่ต้องการนำเสนอ รวมถึงการดีไซน์มูดแอนด์โทนและการเลือกเพลงต่างๆ ให้เข้ากับมู้ดแต่ละโซนจัดแสดง นิทรรศการที่ไอคอนสยามระหว่างวันที่ 24 มกราคม-11 พฤษภาคม 2568 ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตรได้จำลองการเดินทางของเจ้าชายน้อยตามบทในหนังสือที่เขาเดินทางออกจากดาวของตัวเอง และพบเจอผู้ใหญ่ในดวงดาวอื่นๆ ที่เขามีความเห็นว่า “พวกผู้ใหญ่นี่แปลกพิลึกจริงๆด้วย” ก่อนมายังโลกและพบเจอกับนักบินที่เครื่องบินเสียจนต้องร่อนลงในทะเลทรายซาฮาร่า จนถึงตอนสุดท้ายที่เจ้าชายน้อยบอกว่าถึงเวลากลับบ้านของเขาแล้วและหายไปในทะเลทรายโดยไม่พบร่างของเขาอีกเลย

Mad Motion Studio ก่อตั้งโดย แคทรีน อมตวิวัฒน์

โซนไฮไลต์คือโลก ดาวเคราะห์ดวงที่ 7 ที่เจ้าชายน้อยมาเยือน ตกแต่งด้วยต้นไม้ขนาดความสูง 7 เมตร ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากต้นเบาบับที่ขึ้นอยู่บนดาวของเขา รวมถึงใช้ระบบคิเนติกทำฉากให้มีความเคลื่อนไหวและจออิมเมอร์ซีฟให้เล่นกับสุนัขจิ้งจอกที่เป็นคาแรคเตอร์สำคัญในเรื่องที่สอนให้เจ้าชายน้อยได้ค้นพบคุณค่าของความสัมพันธ์ อีกหนึ่งไฮไลต์คือห้องกระจกที่ตกแต่งด้วยกุหลาบประดิษฐ์กว่า 30,000 ดอก เล่าตอนที่เจ้าชายน้อยไปเจอสวนหนึ่งที่เต็มไปด้วยกุหลาบ 5,000 ดอกบนโลก และทำให้เขาเสียใจในตอนแรกว่าดอกกุหลาบบนดาวของเขาไม่ใช่ดอกเดียวในจักรวาลอย่างที่เธอกล่าวอ้าง แต่สุนัขจิ้งจอกกลับให้ข้อคิดและกลายเป็นวรรคทองของเรื่องที่นักอ่านรู้จักกันดีว่า “เรามองเห็นแจ่มแจ้งด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา” ด้วยเพราะเธอเป็นกุหลาบเพียงดอกเดียวที่เจ้าชายน้อยทะนุถนอมและใส่ใจดูแลทำให้ดอกกุหลาบนั้นมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น

เชื่อแน่ว่าหลายคนเมื่อไปดู นิทรรศการ นี้แล้วจะหยิบหนังสือเล่มบางแต่เต็มไปด้วยข้อคิดเชิงปรัชญากลับมาอ่านอีกครั้ง เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นนิทานเล่าเรื่องการผจญภัยของเจ้าชายน้อยที่เดินทางไปดวงดาวต่างๆ เมื่อครั้งอ่านตอนวัยเด็ก แต่เป็นหนังสือที่เติบโตไปพร้อมกับประสบการณ์และความทรงจำของเรา

วีรวิชญ์ ฟูตระกูล

ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ และของเก่าไม่ใช่เรื่องคนแก่

ใครว่าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องน่าเบื่อและนิทรรศการเกี่ยวกับของโบราณเป็นเรื่องเฉพาะสำหรับผู้สูงวัยต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อ วีรวิชญ์ ฟูตระกูล นักสะสม อินฟลูเอนเซอร์และผู้ก่อตั้งเพจ “น้องญี่ พี่วิท” ที่มีผู้ติดตามกว่า 2 แสนคน ได้นำของสะสมส่วนตัวในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 7 มาจัดแสดงในนิทรรศการ “สี่แผ่นดิน” ที่ ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ระหว่างวันที่ 11-26 มกราคม 2568 และทำให้เกิดภาพคนรุ่นใหม่ต่อแถวยาวเพื่อซื้อบัตรเข้าชมงาน

วีรวิชญ์ เป็นอินฟลูเอนเซอร์และเจ้าของร้านขายของเก่า “สนามหลวง” ที่ส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ออกเดินทางไปค้นหาจิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์ไทยในยุครัตนโกสินทร์ผ่านศิลปวัตถุชิ้นสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 7 อันเป็นยุคที่ไทยเปิดประเทศรับวัฒนธรรมต่างชาติและมีการบรรจบกันของเทคโนโลยีตะวันตกและศิลปะตะวันออก เขาทุ่มเทเวลากว่า 30 ปี ในการสะสมศิลปวัตถุอันทรงคุณค่าและเริ่มตั้งแต่วัย 7 ขวบ ด้วยการสะสมแสตมป์สมัยรัชกาลที่ 5 ราคาไม่กี่บาทและต่อยอดการสะสมเรื่อยมาทั้งหนังสือเก่า รูปถ่ายเก่า และ เครื่องกระเบื้อง จนไปถึงการติดตามไปประมูลชิ้นงานสำคัญมากมายจากต่างประเทศเพื่อนำกลับมายังแผ่นดินไทย

พระชัยนวโลหะองค์ต้นแบบ

นิทรรศการจัดแสดงศิลปวัตถุราว 100 ชิ้น เช่น พระชัยนวโลหะองค์ต้นแบบ จดหมายลายพระหัตถ์รัชกาลที่ 4 ถึงกงสุลชาวอังกฤษ โทมัส ยอร์ช น็อกซ์ (Thomas George Knox) นามบัตรใบแรกของสยามที่เป็นนามบัตรของรัชกาลที่ 4 พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 5 ตอนทรงพระเยาว์ ของที่ระลึกในพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 5 ชุดน้ำชาจักรีที่รัชกาลที่ 5 สั่งมาเป็นของที่ระลึกในงานพระเมรุเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ และ ภาพเขียนพอร์ตเทรต 4 เจ้าฟ้า โดย ระเด่นบาซูกิ จิตรกรชวาในราชสำนักไทย

วีรวิชญ์ได้ให้ข้อคิดว่านักสะสมคือผู้ดูแลมรดกทางวัฒนธรรมที่ทำหน้าที่ส่งต่อประวัติศาสตร์จากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นจึงต้องศึกษาประวัติศาสตร์ให้ลึกพร้อมกับส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ให้ได้ ศิลปวัตถุเหล่านี้สร้างสรรค์ขึ้นจากจิตวิญญาณของช่างฝีมือและอยากให้คนไทยภาคภูมิใจกับความมีอารยะและรากเหง้าของประเทศที่มีมายาวนาน

เปิด “ประตูไปที่ไหนก็ได้” กับกองทัพโดราเอมอนและผองเพื่อน

หลังจากสร้างความตื่นตะลึงกับการบุกฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้มาแล้ว โดราเอมอน หุ่นยนต์แมวจากศตวรรษที่ 22 คาแรคแตอร์จากการ์ตูนญี่ปุ่นยอดนิยมที่ครองใจผู้คนมากว่า 50 ปี พร้อมกับผองเพื่อนทั้งโนบิตะ ชิซูกะ ซูเนโอะ และ ไจแอนท์ ได้เปิด “ประตูไปที่ไหนก็ได้” มาเยือนเมืองไทยแบบจัดเต็มครั้งแรกกับนิทรรศการ 100% Doraemon & Friends Tour in Thailand ที่ไอคอนสยามระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม-22 มิถุนายน 2568 และสร้างรอยยิ้มให้กับผู้ชมทุกเพศทุกวัยจริงๆ

พื้นที่กลางแจ้ง ริเวอร์ พาร์ค เนืองแน่นด้วยผู้ชมที่ต่างต้องการถ่ายรูปกับกองทัพคาแรคเตอร์ในเรื่องขนาดเท่าตัวจริงกว่า 100 ตัว ทั้งที่ปรากฎในเวอร์ชันฉบับมังงะและแอนิเมชัน เช่น โดราเอมอนรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลา โดราเอมอนนอนตัวเหลวแบนติดพื้น โดราเอมอนที่กลายเป็นมันม่วงเมื่อโดนโทรโข่งเปลี่ยนสิ่งของ พร้อมไฮไลต์คือหุ่นโดราเอมอนเป่าลมขนาดยักษ์สูง 12 เมตร สวมหมวกทรงเบเรต์และถือปากกาหมึกซึมตามแบบคาแรคเตอร์ของผู้ให้กำเนิดโดราเอมอน คือ ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ (Fujiko F Fujio)

นิทรรศการ

ส่วนบริเวณอินดอร์ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตรนำเสนอในรูปแบบ “100% Manga Art Exhibition” ไม่ว่าจะเป็นการจำลองห้องทำงานของ ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ พร้อมอุปกรณ์วาดภาพที่เขาใช้เป็นประจำในอัตราส่วน 1:1 ภาพ reproduction ผลงานการ์ตูนภาพขาวดำและภาพสีที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในลายเส้นของแต่ละยุค การจำลองห้องนอนโนบิตะ ฉากสำคัญต่างๆ ในเรื่องที่สร้างสรรค์ในรูปแบบ  3 มิติ และ ของวิเศษในกระเป๋ามิติที่ 4 ของโดราเอมอนที่ทำเป็นรูปนูนต่ำบนผนังสีขาว เป็นต้น ทำให้เหล่าเอฟซีโดราเอมอนเต็มอิ่มจุใจดังเช่นที่  จิซึโกะ คัตสึมาตะ (Jitsuko Katsumata) ลูกสาวของ ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Fujiko Pro  กล่าวในวันเปิดงานว่า “เรื่องโดราเอมอนนั้นเป็นผลงานที่ข้ามพรมแดนและสื่อสารกับคนทั่วโลกได้ หวังว่านิทรรศการนี้จะทำให้ทุกคนมีความทรงจำที่ดี และเชื่อมต่อกับความรู้สึกสมัยเด็ก”

ปีทองของ “ไดโนเสาร์พันธุ์ไทย” ที่ขยับสู่พิพิธภัณฑ์

จาก DINOLAB BANGKOK 2025 Jurassic Domination นิทรรศการอินเตอร์แอคทีฟจากเกาะไต้หวันที่เข้ามาจัดแสดงในไทยเมื่อตอนต้นปี 2025 ต่อด้วยการมาของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ จูราสสิค เวิลด์: กำเนิดชีวิตใหม่ (Jurassic World Rebirth) ที่ยกกองมาถ่ายทำถึงเมืองไทยทั้งในพื้นที่กระบี่ พังงา และตรัง ทำให้กระแสไดโนเสาร์ฟีเวอร์ในประเทศไทยมาแรงอย่างต่อเนื่อง และจุดที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าโลกล้านปีของไดโนเสาร์ใกล้ตัวคนไทยมากกว่าที่คิดก็คือนิทรรศการ THAINOSAUR (ไทยโนซอร์)  จัดแสดงระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม-2 พฤศจิกายน 2568  ณ ท่าพิพิธภัณฑ์ (Museum Pier) ชวนสำรวจโลกของ “ไดโนเสาร์สายพันธุ์ไทย” รวมทั้งเหล่าสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เคยอาศัยอยู่บนแผ่นดินสยามเมื่อล้านปีที่มีมากกว่า 100 ชนิด ซึ่งนี่เป็นนิทรรศการไดโนเสาร์พันธุ์ไทยที่ไม่ต้องไปไกลถึงแหล่งค้นพบ ที่แต่ละแหล่งก็จะมีเพียงไม่กี่ชนิดจัดแสดง แต่นิทรรศการ THAINOSAUR นำรวบรวมหลายสายพันธุ์มาจัดแสดงใจกลางเมือง ทั้งยังนำเสนอข้อมูลตามลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยาอย่างละเอียด สมบูรณ์ อัพเดทข้อมูลปัจจุบันที่สุด และเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นขนและสีของไดโนเสาร์ที่อาจจะมีมากกว่าสีน้ำตาล

จากนิทรรศการ THAINOSAUR ที่มีผู้เข้าชมนับหมื่นคนโดยเฉพาะคนไทยข่าวดีส่งท้ายปลายปี 2025 คือนิทรรศการไดโนเสาร์สายพันธุ์ไทยได้ขยายสู่รูปแบบพิพิธภัณฑ์ในชื่อ Thainosaur Museum ตั้งอยู่ที่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟรอนท์ ใกล้กับ SkyFlyers: Wings of Garudapterus เครื่องเล่นลอยฟ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสัตว์เลื้อยคลานบินได้สายพันธุ์ใหม่ที่ค้นพบในไทย การมาของ Thainosaur Museum ยังได้เติมเต็มโซน Jurassic World: The Experience ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันให้เป็นจุดหมายของคนรักไดโนเสาร์ เพราะหลังจากไปรู้จักไดโนเสาร์สายพันธุ์ท็อประดับโลกแล้ว ก็ยังสามารถเชื่อมต่อมารู้จักไดโนเสาร์สายพันธุ์ไทยได้อีก

หนึ่งในไฮไลต์ของ Thainosaur Museum คือการจัดแสดงโครงกระดูกพี่ใหญ่ไททัน (ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ) เจ้ายักษ์แห่งชัยภูมิที่เป็นโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำมาจัดแสดงครั้งแรกที่ Thainosaur Museum และมีไดโนเสาร์อีกหลายตัวที่จัดแสดงก่อนประกาศชื่ออย่างเป็นทางการและหลังจากนี้ Thainosaur Museum ยังจะทำหน้าที่อัพเดทข้อมูลใหม่ๆ ผลักดันให้ไดโนเสาร์สายพันธุ์ไทยกลายเป็นไดโนเสาร์ฮีโรที่คนไทยรู้จักมากยิ่งขึ้น


Author

เกษศิรินทร์ ผลธรรมปาลิต
Feature Editor ประจำ Sarakadee Lite อดีต บรรณาธิการข่าวไลฟ์สไตล์ Nation ผู้นิยมคลุกวงในแวดวงศิลปวัฒนธรรมจนได้ขุดเรื่องซีฟๆ มาเล่าสู่กันฟังเสมอ
ศรัณยู นกแก้ว
Editor ที่ผ่านทั้งงานหนังสือพิมพ์ พ็อกเก็ตบุ๊ค และนิตยสาร ปัจจุบันยังคงสมัครใจเป็นแรงงานด้านการผลิตคอนเทนต์