
100 ปีชาตกาล ท่านกูฏ กับการสานต่อจิตรกรรมฝาผนังยุคแรกที่เขียนค้างไว้ให้สมบูรณ์โดยทายาท
- ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือ ท่านกูฏ (พ.ศ. 2468-2525) เป็นศิลปินชั้นครูผู้บุกเบิกจิตรกรรมฝาผนังไทยร่วมสมัยที่ปรากฏทั้งในพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ โรงแรมดุสิตธานี โรงแรมมณเฑียร และโรงแรมอนันตรา สยาม
- ในวาระ 100 ปีชาตกาลของท่านกูฏในปี 2568 ทางทายาทได้สานต่อจิตรกรรมฝาผนังที่วัดเทพพล ที่ท่านเขียนค้างไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2509 แต่จากไปเสียก่อนให้เสร็จสมบูรณ์
ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือที่รู้จักกันในนาม ท่านกูฏ (พ.ศ. 2468-2525) เป็นศิลปินชั้นครูผู้บุกเบิกจิตรกรรมฝาผนังไทยร่วมสมัยที่ปรากฏทั้งในพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ โรงแรมดุสิตธานี โรงแรมมณเฑียร และโรงแรมอนันตรา สยาม งานของ ท่านกูฏ มักเป็นผลงานชิ้นขนาดใหญ่มากกว่า 20 ตารางเมตร จึงไม่มีงานที่เป็นคอลเลกชันสำหรับสะสมมากนักแม้แต่ที่ตกทอดถึงทายาทเองมีเพียงงานสเกตช์และภาพสีน้ำมันบางชิ้นเท่านั้น ดังเช่นที่ นาคนิมิตร สุวรรณกูฏ หนึ่งในลูก 6 คนของท่านกล่าวว่า “พ่อมีที่อยู่ แต่ก็เหมือนไม่มีที่อยู่ในวงการศิลปะ”

อย่างไรก็ตาม นาคนิมิตร กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ท่านกูฏทิ้งไว้เป็นมรดกคือแนวคิดในการทำงานว่าให้ใช้ “ตาใน” มากกว่า “ตานอก” คือใช้ มือ ตา และใจ ให้สัมพันธ์กันและเป็นอิสระในการสร้างสรรค์ และในวาระ 100 ปีชาตกาลของท่านกูฏใน พ.ศ. 2568 นี้ ทางทายาทได้ร่วมกันสานต่อจิตรกรรมฝาผนังที่ วัดเทพพล ย่านตลิ่งชัน ที่ท่านเขียนค้างไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2509 แต่ทำได้เพียงแค่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ก็จากไปเสียก่อน เพื่อให้เป็นผลงาน retrospective ถ่ายทอดปรัชญาการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ของบรมครูผู้ล่วงลับอย่างเป็นรูปธรรม

ท่านกูฏอาสาเขียนจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถของวัดเทพพล โดยใช้อุปกรณ์และเงินทุนส่วนตัวที่มีอย่างจำกัดและค่อยๆ ทำทีละเล็กทีละน้อย ปัจจุบันทางวัดได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่และบูรณะหลังเดิมที่มีงานของท่านกูฏและเปลี่ยนเป็นพระวิหาร ทางทายาทนำโดย 3 พี่น้อง ภาพตะวัน กาพย์แก้ว และ นาคนิมิตร สุวรรณกูฏ ได้มาสานต่องานของพ่อตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 และปัจจุบันคืบหน้าไปแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ โดยคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ก่อนจะมีการจัดนิทรรศการ “The Power of Visualization” ในวาระ 100 ปีชาตกาลของท่านกูฏ ในเดือนธันวาคม 2568 ที่ท่าพิพิธภัณฑ์ หรือ Museum Pier พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯ

“จิตรกรรมฝาผนังนี้จะเป็นงาน retrospective ของพ่อโดยจะนำเสนอผลงานเก่าที่พ่อเขียนค้างไว้ และเชื่อมโยงการเดินทางของพ่อด้วยการนำ elements สำคัญบางส่วนในงานที่พ่อเขียนไว้ทั้งที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ โรงแรมดุสิตธานี โรงแรมมณเฑียร โรงแรมอนันตรา สยาม และร้านศรีวิวัฒน์ไก่ย่าง มาจัดองค์ประกอบให้สอดคล้องกันโดยพี่ช้าง (ภาพตะวัน) เป็นผู้ออกแบบภาพรวมและมีการเสริมภาพชีวิตของชาวบางพรมที่อยู่บริเวณรอบวัดเข้าไปด้วย” กาพย์แก้วผู้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการวาดภาพเพื่อสานต่อให้สมบูรณ์ อธิบายถึงภาพรวมของจิตรกรรมฝาผนังที่วัดเทพพล

สืบสานและต่อยอดจิตรกรรมไทยร่วมสมัย
ภาพที่ ท่านกูฏ เขียนค้างไว้อยู่บริเวณด้านหลังพระประธานเป็นภาพจักรวาลและสวรรค์ ส่วนบริเวณผนังด้านหน้าพระประธานเล่าเรื่องพุทธประวัติโดยเป็นภาพพระกุมารในครรภ์พระนางสิริมหามายาและรายล้อมด้วยเทพยดา สัตว์หิมพานต์ และโขลงช้างม้ามาร่วมแซ่ซ้องสรรเสริญกับการประสูติ เหนือภาพขึ้นไปเป็นรูปดอกบัว 7 ดอก การวาดของท่านกูฏนั้นแตกต่างกับภาพประสูติโดยทั่วไปที่นิยมเขียนเป็นรูปเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อประสูติจากพระครรภ์พระมารดาทรงพระดำเนินด้วยพระบาทไปได้ 7 ก้าวพร้อมดอกบัวรองรับ


ภาพเดิมเป็นภาพสีฝุ่นในโทนสีดินแดงและทางทายาทได้คงเฉดสีเดิมไว้ แต่เปลี่ยนจากสีฝุ่นเป็นสีสมัยใหม่คือสีอะคริลิกพลาสติกซึ่งมีความคงทน ให้สีสด และมีความละเอียดของเนื้อสี พร้อมกับนำรายละเอียดบางส่วนในงานที่ ท่านกูฏ เคยเขียนไว้ตามที่ต่างๆ มาเติมแต่งให้สมบูรณ์ เช่น ลายแก้วชิงดวงบนเสาปูนขนาดใหญ่สองต้นที่ท่านกูฏได้เขียนไว้ที่โรงแรมดุสิตธานีเมื่อ พ.ศ.2513 โดยทั้ง 3 พี่น้องได้มีส่วนร่วมในการบูรณะเชิงอนุรักษ์จิตรกรรมบนเสาปูนทั้งสองต้นจนสำเร็จเมื่อเดือนมีนาคม 2568 และปัจจุบันติดตั้งอยู่ที่ล็อบบีใหม่ของโรงแรม


นอกจากนี้ยังมีภาพขบวนแห่งานบั้งไฟซึ่งถอดมาจากภาพที่ท่านกูฏเขียนบนผนังปูนเพื่อประดับห้องอาหารเบญจรงค์ก่อนจะมีการรื้อถอนและย้ายมาติดตั้งที่ชั้น 3 ของโรงแรมดุสิตธานีที่มีการปรับโฉมใหม่


บานหน้าต่างของพระวิหารเขียนเป็นลายดอกพุดตานและบางส่วนบนผนังเป็นภาพเรือสำเภาที่ปรากฏในจิตรกรรมบนผ้าไหมที่ท่านกูฏสร้างสรรค์สำหรับโรงแรมมณเฑียรซึ่งเป็นสถานที่ที่มีงานของท่านมากที่สุดคือทั้งหมด 5ภาพ ติดตั้งภายในห้องล็อบบี ห้องมณเฑียรทิพย์ และห้องพัก Imperial Suite โดยเนื้อหาหลักในภาพเป็นเรื่องราวของเหล่าเทพเทวดาที่สถิตในปราสาท ภาพกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค และลายเส้นสัตว์ป่าหิมพานต์

ถอดวิธีคิดและหัวใจการทำงานของท่านกูฏ
“เรานำส่วนที่เป็นความสำคัญของงานแต่ละที่มารวมกันเพื่อให้เห็น ‘หัวใจการทำงานของพ่อ’ ที่มีการใช้ ‘ความขัดแย้งให้เกิดความงาม’ เช่น ภาพต้นไม้มีความ ‘ปลิวแบบนิ่ง’ แบบที่พ่อเคยกล่าวด้วยการใช้ฟอร์มกับสเปซให้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สะเปะสะปะ พ่อสนุกกับการใช้สีมากและชอบใช้สีคู่ตรงข้ามอย่างส้ม-น้ำเงิน และแดง-เขียว เพื่อสร้างพลังให้สีเกิดการทำงานอย่างมีชีวิตที่ดูแล้ว ‘เหมือนรก แต่สะอาด’ พ่อเป็นศิลปินที่ไม่ยึดติดกับอะคาเดมิก ไม่สนใจถูกผิดทางทฤษฎี และใช้อารมณ์ความรู้สึกในงานอย่างตรงไปตรงมา” กาพย์แก้วผู้เรียนจบด้านศิลปะจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าว

บางภาพในวัดเทพพลยังถอดมาจากจิตรกรรมขนาดกว่า 100 ตารางเมตร ที่ท่านกูฏสร้างสรรค์เพื่อประดับล็อบบีโรงแรมอนันตรา สยาม ซึ่งถือเป็นงานชิ้นใหญ่ที่สุดของท่านกูฏโดยเล่าเรื่องราวการสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีและการก่อตั้งราชวงค์จักรี อย่างไรก็ตามท่านกูฏมีอาการป่วยหนักหลังจากที่เริ่มทำงานชิ้นนี้ได้ 6 เดือน และจากไปก่อนเสร็จสมบูรณ์ แต่ลูกสาวคือ ภาพตะวัน ผู้ติดตามพ่อไปทำงานตามที่ต่างๆ ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เป็นผู้สานต่อวาดภาพจนสำเร็จ


นอกจากนี้ยังมีภาพชีวิตชาวบ้านริมน้ำและขบวนแห่งานรื่นเริงของภาคอีสานที่ถอดมาจากจิตรกรรมบนฝาผนังปูนที่ท่านกูฏเขียนไว้ที่ร้านศรีวิวัฒน์ไก่ย่าง ใกล้กับเวทีมวยราชดำเนิน (ปัจจุบันเลิกกิจการแล้ว) ในปี 2508 ปัจจุบันได้มีการถอดภาพออกมาแล้วและอยู่ในขั้นตอนการอนุรักษ์โดยจะนำมาจัดแสดงในนิทรรศการ 100 ปีชาตกาลของท่านกูฏ ในเดือนธันวาคม 2568 ด้วย


กาพย์แก้วยอมรับว่าสิ่งที่ท้าทายสำหรับโปรเจกต์นี้คือการถอดวิธีคิดในการทำงานของพ่อออกมาให้ใกล้เคียงที่สุด
“งานนี้เป็นการ reproduction งานของพ่อที่เราต้องใช้ความพยายามพอสมควรในการอ่านนิสัยและการทำงานของพ่อ งานของพ่อใช้ ‘ตาใน’ หรืออารมณ์และจินตนาการมาก เช่น วาดรูปภูเขาดิ่งยื่นขึ้นฟ้า หรือรูปตัวละครในภาพมีสัดส่วนที่ใหญ่กว่าสถาปัตยกรรมเพื่อขับเน้นอารมณ์ความรู้สึก เรายอมรับว่ายังไม่สามารถถ่ายทอดแบบพ่อได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ยังมีตัวตนของเราผสมผสานไปด้วย เพราะยังติดการใช้สีและเทคนิคที่เป็นการไล่น้ำหนักสี แต่เมื่อได้กลับมาสัมผัสงานของพ่อทำให้เราได้ไฟในการทำงานและแรงบันดาลใจในการพัฒนางานตัวเองต่ออย่างมาก” กาพย์แก้วซึ่งปัจจุบันเป็นศิลปินประจำที่วัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม กล่าวถึงแรงบันดาลใจที่ได้รับจากงานของพ่อ

“วัดเทพพล” เวทีปล่อยของผลงานยุคแรก
ท่านกูฏเรียนจบจากคณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นลูกศิษย์ของ อาจารย์ศิลป์ พีระศรี แต่เป็นหนึ่งในนักเรียนที่มีหัวค่อนข้างขบถและต่อต้านการเรียนแบบอะคาเดมิกและไม่เคยเห็นด้วยกับการจัดประกวดศิลปกรรมใดๆ ส่วนที่มาของชื่อ ท่านกูฏ เพื่อให้เรียกสอดคล้องกับเพื่อนสนิทร่วมรุ่นคือ อังคาร กัลยาณพงศ์ หรือ ท่านอังคาร

แม้จะเรียนเอกด้านประติมากรรม แต่อาจารย์ศิลป์เป็นผู้แนะนำให้ท่านกูฏหันไปเขียนภาพจิตรกรรมไทย ทำให้ท่านศึกษาเรื่องจิตรกรรมไทยและลายไทยที่วัดโพธิ์เป็นเวลากว่า 3 ปี พร้อมกับได้เรียนกับ อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ บรมครูผู้บุกเบิกงานอนุรักษ์จิตรกรรมไทย ในขณะศึกษางานศิลปะไทยที่วัดโพธิ์นี่เองมีผู้แนะนำให้ท่านกูฏรู้จักกับพระอาจารย์รูปหนึ่งที่วัดเทพพลจนย้ายบ้านมาอยู่ไม่ไกลจากวัดเพื่อทำงานได้สะดวก

“พ่อเสนอตัวเองว่าจะวาดจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์ให้กับวัด เพราะตอนนั้นท่านกำลังร้อนวิชาเรื่องจิตรกรรมไทยและอยากหาพื้นที่ทดลองงานด้วย แต่ด้วยเวลาและทุนทรัพย์ส่วนตัวที่จำกัดทำให้ท่านวาดได้ทีละเล็กละน้อยและไม่เสร็จสมบูรณ์อย่างที่ตั้งใจจนจากไปเสียก่อน ต่อมาโบสถ์มีสภาพทรุดโทรมตามกาลเวลา จนกระทั่งเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ทางวัดได้มีการบูรณะโบสถ์เป็นที่เรียบร้อยและทางเจ้าอาวาสเห็นคุณค่างานที่พ่อสร้างไว้จึงไม่ได้ลบทิ้งทำให้ทางลูกๆ ได้มีโอกาสมาสานต่อ งานที่วัดเทพพลจึงถือเป็นงานยุคแรกของจิตรกรรมไทยร่วมสมัยของท่านก่อนที่จะเขียนที่โรงแรมดุสิตธานี และที่อื่นๆ ต่อมา” นาคนิมิตรผู้เรียนจบจากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าว

นิทรรศการ retrospective 100 ปีชาตกาล
นาคนิมิตรผู้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการจัดนิทรรศการในวาระ 100 ปีชาตกาลของท่านกูฏ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานเขียนของพ่อมี “ความกลมกล่อม” และสนุกกับการใช้สีอย่างที่เรียกว่าการใช้ “สีอร่อย” ด้วยเพราะท่านกูฏสนใจในศิลปะแบบจุดสี (Pointillism) และอิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) อีกทั้งยังมีความร่วมสมัยและบูรณาการให้เข้ากับแต่ละสถานที่ จึงเป็นที่มาของคำว่า “The Power of Visualization” ซึ่งจะเป็นชื่อของนิทรรศการที่จะจัดในเดือนธันวาคม 2568 เพื่อส่งต่อปรัชญาที่ยังมีชีวิต

“ในนิทรรศการเราอยากนำเสนอแนวคิดหลัก 3 ข้อของพ่อ อย่างแรกคือ ‘การปฏิบัติสู่ปัญญา’ หมายถึงการทำงานให้เยอะ เช่น พ่อเขียนใบไม้เป็นหมื่นๆ ใบและปฏิบัติวิปัสสนาจนเกิดการเชื่อมโยงระหว่างตานอก ตาใน และปัญญา ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ต่อมาคือเรื่อง ‘Force of Nature’ หรือ ดิน น้ำ ลม ไฟที่เป็นองค์ประกอบของชีวิตและถ่ายทอดสู่ผลงาน และท้ายสุดคือเรื่อง ‘อิสระการสร้างสรรค์’ เพราะพ่อต่อต้านกฎเกณฑ์แบบอะคาเดมิก ไม่เคยสร้างกรอบให้ใครและเปิดอิสระมาก ในการทำงานท่านจะสอนเสมอว่า เมื่อเขียนแล้วถอยออกมาดูว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าอะไรไม่ใช่ให้แก้ตรงนั้นเลย ทำงานให้ตอบสนองความรู้สึกตอนนั้น”

นอกจากผลงานด้านจิตรกรรมแล้ว ในนิทรรศการจะนำเสนอความสามารถของท่านกูฏทางด้านประติมากรรม วรรณกรรม และการออกแบบการแสดงด้วย
“พ่อเคยออกแบบ stage performance และแต่งเรื่องสั้น 2 เรื่องชื่อ ‘เขี้ยวหมูป่า’ และ‘ส้มป่อยดอกเหลือง’ ซึ่งคำที่ท่านใช้ในการบรรยาย เช่น ‘ลอดกิ่งลอดก้าน คือก้านคือกิ่ง ป่าย่อมเป็นป่า ทั้งรกทั้งสะอาด’ สามารถสื่อถึง visual movement เหมือนกับงานจิตรกรรมได้” นาคนิมิตรกล่าว
Fact File
- วัดเทพพล ตั้งอยู่ที่แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
- นิทรรศการในวาระ 100 ปีชาตกาลของท่านกูฏ จะจัดขึ้นในเดือนธันวาคม 2568 ที่ท่าพิพิธภัณฑ์ หรือ Museum Pier ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.museumpier.com
