เจ้าชายน้อย เวอร์ชันศิลปินไทย “วศินบุรี” เพื่อพิพิธภัณฑ์เจ้าชายน้อยแห่งใหม่ The Little Prince and His World สวิตเซอร์แลนด์
- วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ศิลปินผู้โด่งดังกับประติมากรรมหมาจุด ได้สร้างสรรค์ประติมากรรมชุดเจ้าชายน้อย สำหรับพิพิธภัณฑ์เจ้าชายน้อยแห่งใหม่ชื่อว่า Der Kleine Prinz und seine Welt (The Little Prince and His World) ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) โดยนักบินและนักเขียนชาวฝรั่งเศส อ็องตวน เดอ แซ็งแต็กซูว์เปรี เป็นวรรณกรรมคลาสสิกที่ครองใจนักอ่านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลกมากว่า 80 ปี
- พิพิธภัณฑ์ก่อตั้งโดย ฌ็อง-มาร์ก พร็อพสต์ (Jean-Marc Probst) เจ้าของมูลนิธิฌ็อง-มาร์ก พร็อพสต์ เพื่อเจ้าชายน้อย
หมาจิ้งจอกและแกะ คาแรกเตอร์ที่เป็นขวัญใจของนักอ่านทั่วโลกในวรรณกรรมคลาสสิกเชิงปรัชญาเรื่อง เจ้าชายน้อย หรือ Le Petit Prince ได้ถูกนำมาตีความใหม่ตามแบบฉบับของศิลปิน ติ้ว-วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ให้เป็นประติมากรรมที่มีรูกลมพรุนทั่วตัวเหมือนเป็นลายจุดอันเป็นซิกเนเจอร์ของศิลปินที่โด่งดังกับประติมากรรมหมาจุด เพื่อจัดแสดงถาวรในพิพิธภัณฑ์เจ้าชายน้อยแห่งใหม่ชื่อว่า Der Kleine Prinz und seine Welt หรือ The Little Prince and His World ณ เมืองโซโลเทิร์น (Solothurn) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
The Little Prince and His World เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ก่อตั้งโดย ฌ็อง-มาร์ก พร็อพสต์ (Jean-Marc Probst) เจ้าของมูลนิธิฌ็อง-มาร์ก พร็อพสต์ เพื่อเจ้าชายน้อย (Fondation Jean-Marc Probst pour le Petit Prince) ซึ่งสนับสนุนการตีพิมพ์และแปลเรื่องเจ้าชายน้อยเป็นภาษาใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยตีพิมพ์มาก่อน พิพิธภัณฑ์เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 โดยเป็นสถานที่ที่รวบรวมหนังสือ เอกสาร และสิ่งของต่างๆ เกี่ยวกับเรื่อง เจ้าชายน้อย และผู้เขียนคือนักบิน และนักเขียนชาวฝรั่งเศส อ็องตวน เดอ แซ็งแต็กซูว์เปรี (Antoine de Saint-Exupéry, ค.ศ.1900-1944) ไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ติ้ว-วศินบุรี ได้สร้างสรรค์ประติมากรรมเรื่อง เจ้าชายน้อย 2 ชุด ชุดแรกเป็นประติมากรรมหมาจิ้งจอกมีรู ทำจากทองเหลือง ขนาดสูง 70 และยาว 125 เซนติเมตร และติดตั้งบริเวณช่องหน้าต่างของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งหมาจิ้งจอกเป็นคาแรกเตอร์สำคัญที่ทำให้เจ้าชายน้อยค้นพบคุณค่าของความสัมพันธ์ด้วยคำพูดที่ว่า “เรามองเห็นแจ่มแจ้งด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา” อันเป็นปรัชญาหลักของเรื่องและเป็นวรรคทองที่จับใจผู้อ่านทั่วโลก
อีกชุดหนึ่งเป็นประติมากรรมไฟเบอร์ ประกอบด้วยแกะ 4 ชิ้น ขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ที่มีความสูงตั้งแต่ 26-40 และยาว 28-48 เซนติเมตร หมาจิ้งจอก 1 ชิ้น ขนาดสูง 72 และยาว 80 เซนติเมตร และเจ้าชายน้อยขนาดสูง 75 และยาว 40 เซนติเมตรในท่าถือโถแก้วครอบดอกกุหลาบหนึ่งดอก แกะเป็นอีกหนึ่งคาแรกเตอร์สำคัญในเรื่อง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เจ้าชายน้อย เด็กหนุ่มผมสีทองจากดาว B612 ได้เปิดบทสนทนาแรกกับนักบินที่เครื่องบินเสียจนต้องร่อนลงกลางทะเลทรายซาฮาร่าด้วยประโยคแปลกประหลาดว่า “ช่วยวาดแกะให้ผมสักตัวได้ไหมครับ”

(ภาพ : วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์)
ติ้ว-วศินบุรี ศิลปินศิลปาธร สาขาการออกแบบ ประจำปี 2553 กล่าวว่าการพบกันครั้งแรกระหว่างเขากับฌ็อง-มาร์กเมื่อเดือนมกราคม ปี 2568 และนำมาสู่การเชิญชวนให้สร้างสรรค์ประติมากรรมเพื่อพิพิธภัณฑ์เจ้าชายน้อยแห่งใหม่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเหมือนกับมีใครสักคนเดินออกมาจากความฝันแล้วบอกกับเขาว่า “ช่วยวาดแกะให้ผมหน่อย”
“คุณฌ็อง-มาร์กรู้จักกับพี่สุพจน์ โล่ห์คุณสมบัติ เจ้าของโครงการเจ้าชายน้อยภาษาถิ่นไทย และพวกเขามาเที่ยวราชบุรีทำให้เราได้มีโอกาสพบกัน คุณฌ็อง-มาร์กเคยเห็นงานประติมากรรมหมาจุดของผมที่ตอนนั้นจัดแสดงที่โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพฯ และในช่วงนั้นเขากำลังมีโครงการจัดทำพิพิธภัณฑ์เจ้าชายน้อยที่เมืองโซโลเทิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เขาเกริ่นว่าอยากให้ผมลองตีความเรื่อง เจ้าชายน้อย ออกมาเป็นชิ้นงาน ตอนนั้นผมดีใจมาก แต่สารภาพว่าก็ไม่แน่ใจว่าเขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ ไหม ช่วงนั้นเผอิญผมก็ยุ่งกับเตรียมงานนิทรรศการเดี่ยวของตัวเองที่กรุงเทพฯ ด้วย จนกลางปีนี้ที่พี่สุพจน์ทักมาบอกว่าคุณฌ็อง-มาร์กเขาอยากได้จริงๆ และให้ออกแบบไปให้ดู” ติ้ว ทายาทรุ่นที่ 3 ของโรงงานเซรามิกเถ้าฮงไถ่ และผู้ก่อตั้งหอศิลป์ดีคุ้น (dKunst) ในจังหวัดราชบุรี กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์

รู : จุดเชื่อมโยงของเจ้าชายน้อยกับหมาจุด
การทำให้พื้นผิวของประติมากรรมหมาจิ้งจอกและแกะให้เป็น “รู” เหมือนอย่างประติมากรรมหมาจุดชื่อ ไอ้จุด (I-Jud) อันโด่งดังของเขาไม่ใช่เป็นเพียงแค่ซิกเนเจอร์ของศิลปิน แต่จุดเริ่มต้นของหมาจุดนั้นแท้จริงแล้วมีความเชื่อมโยงกับเรื่อง เจ้าชายน้อย โดยเฉพาะวรรคทองของวรรณกรรมที่ว่า “สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา” ที่ติ้วตีความว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ความจริงและมายา” (reality and illusion) อันเป็นแกนหลักในงานธีสิสของเขาในขณะศึกษาปริญญาโทด้านการออกแบบเซรามิกที่มหาวิทยาลัย Gesamthochschule Kassel ในเมืองคาสเซิล ประเทศเยอรมนีในปี พ.ศ. 2542

“จุดเริ่มของการสร้างงานที่มีรู เกิดจากมีการถกเถียงกันบ่อยมากในมหาวิทยาลัยว่าเซรามิกไม่ใช่เพียวอาร์ต ไม่ใช่ไฟน์อาร์ต แต่ว่าเป็นงานคราฟต์เนื่องจากว่ามีเรื่องของฟังก์ชัน ผมก็เลยเจาะรูในภาชนะเซรามิกที่ทำเพื่อให้เห็นว่าพอไม่มีฟังก์ชันแล้วเนี่ย ภาชนะของผมถือเป็นงานประติมากรรมหรือเปล่า ประเด็นเรื่องความจริงและมายาจึงเกิดขึ้นในความคิด ผมก็เล่นกับการทดลองโดยปั้นหมาตัวหนึ่งหนัก 2 กิโลกรัมแบบตันๆ แล้วควักคว้านดินออกไปในปริมาณเกือบๆ 1 กิโลกรัมโดยที่ยังคงความเป็นได้ของรูปทรง
“ดังนั้นเมื่อปริมาณของความจริงหรือดินที่เห็นเป็นรูปทรงประติมากรรมหมา กับปริมาณของมายาหรือดินที่ถูกคว้านออกไปมีขนาดเท่าๆ กัน อะไรคือสิ่งที่สำคัญระหว่างสิ่งที่หายไปหรือสิ่งที่คงอยู่ หรือไม่มีอะไรที่สำคัญกว่ากัน ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมหยิบยกปรัชญาของเรื่อง เจ้าชายน้อย ที่ว่า ‘สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา’ มาเป็นเรฟเฟอเรนท์หลักในธีสิส”

(ภาพ : วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์)
แนวคิดนี้จึงได้มีการพัฒนาต่อยอดเป็นประติมากรรมหมาจุดหรือไอ้จุด ที่เขาเริ่มสร้างสรรค์เมื่อ พ.ศ.2550 โดยได้แรงบันดาลใจมาจากหมาพันธุ์ทางข้างถนนและกลายเป็นผลงานสร้างชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุด และมีการสร้างไอ้จุดออกมาอีกหลายเวอร์ชันด้วยวัสดุที่หลากหลาย

หมาจิ้งจอกและแกะลายจุด : ความว่าง = ความหมาย
การออกแบบประติมากรรมให้พิพิธภัณฑ์เจ้าชายน้อยแห่งใหม่ เขาจึงนำประเด็นเรื่อง “ความจริงและมายา” มานำเสนอใหม่ผ่านพื้นผิวที่เจาะเป็น “รู” ในตัวหมาจิ้งจอกและแกะ
“ก่อนทำงานนี้ผมกลับไปอ่านเรื่อง เจ้าชายน้อย อีกสองรอบ ในตอนเด็กเมื่อเราอ่านก็รู้สึกแค่ว่าเป็นนิทานเล่าเรื่องการผจญภัยของเจ้าชายน้อยที่เดินทางไปดวงดาวต่างๆ พอโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มเข้าใจว่าไม่ใช่เป็นแค่หนังสือเด็ก แต่เป็นหนังสือที่เติบโตไปพร้อมกับประสบการณ์และความทรงจำของเรา ผมออกแบบให้สุนัขจิ้งจอกกับแกะมีรู เพราะการทำให้เกิดรูนั้นไม่ใช่เพียงแค่การสร้างลวดลาย แต่เป็นการถอนเนื้อออกจากวัตถุเพื่อทำให้สิ่งที่หายไปนั้น ‘มีอยู่’ อย่างมีนัย หรือความว่าง เท่ากับ ความหมาย…รูจึงเป็นสัญลักษณ์ความคลุมเครือระหว่างความจริงและมายาซึ่งเป็นแก่นปรัชญาในทั้งเรื่องเจ้าชายน้อยและในงานไอ้จุด หมาของผมเช่นกัน ตอนออกแบบผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณฌ็อง-มาร์กเขาจะซื้อหรือไม่ซื้อกับไอเดียนี้ แต่ถ้าผมจะทำจริงๆ ก็อยากจะใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปด้วย แต่เขาชอบคอนเซปต์นี้และบอกว่าเป็นการตีความที่น่าประทับใจ”

ในวรรณกรรมเมื่อเจ้าชายน้อยเดินทางมาถึงดวงดาวที่ 7 คือ โลก เขาได้พบกับหมาจิ้งจอกที่ทำให้เขาเรียนรู้การสร้างความผูกพันและรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ลืมและไม่มีเวลาทำความรู้จักกับสิ่งใดอย่างลึกซึ้ง เมื่อหมาจิ้งจอกกล่าวว่า “เวลาที่เธอเสียไปกับดอกกุหลาบของเธอทำให้ดอกกุหลาบนั้นมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น” ทำให้เจ้าชายน้อยตระหนักถึงความสำคัญของกุหลาบเพียงดอกเดียวบนดาว B612 ของเขาที่เขาเฝ้าทะนุถนอม รดน้ำ ครอบแก้วกำบังลมให้ ฆ่าหนอนให้ และยอมฟังเธอบ่นหรือคุยโอ้อวด กุหลาบของเขาจึงแตกต่างจากกุหลาบ 5,000 ดอกในสวนที่เขาเจอบนดาวที่ชื่อว่าโลก

“ในเรื่องเจ้าชายน้อย เราเห็นสิ่งที่สื่อเรื่องของ ‘ความจริง’ และ ‘มายา’ อยู่ตลอดเวลา ดอกกุหลาบเป็นสิ่งธรรมดาในสายตาคนทั่วไป แต่กลายเป็นสิ่งพิเศษในสายตาเจ้าชายน้อย เพราะเขารดน้ำและดูแลอย่างดี และเฝ้าคิดถึงตลอดเวลา หรือหมาจิ้งจอกก็ไม่ได้มีคุณลักษณะพิเศษทางรูปร่าง แต่เมื่อเขาผูกพันมันก็กลายเป็น ‘สิ่งสำคัญ’ อย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยสายตา แต่มีพลังเทียบเท่าความจริง เหมือนกับน้ำหนักที่หายไปจากประติมากรรม แต่ความหมายกลับเพิ่มขึ้น ดังนั้นการใส่รูในจิ้งจอกและแกะไม่ใช่แค่เพื่อความงาม แต่เป็นการทำให้สิ่งที่ไม่มีตัวตน มีสถานะอยู่ในรูปธรรม”

หมาจิ้งจอกกับการสร้างความผูกพัน
ในคอลเลกชันนี้ หมาจิ้งจอกทองเหลืองเป็นชิ้นแรกที่เขาออกแบบ เพราะเป็นคาแรกเตอร์สำคัญที่ขาดไม่ได้
“หมาจิ้งจอกเป็นตัวละครหลักที่พูดเรื่องความผูกพันอันเป็นวรรคทองของบทประพันธ์ อีกอย่างคือคุณฌ็อง-มาร์กเขาชอบหมาจุดของผมด้วย ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าขาขวาหลังเนี่ยจะยกขึ้นสูงจากพื้นเล็กน้อยเป็นจังหวะคล้ายๆ กับว่าเขากำลังเดินก้าวเข้าไปหาเพื่อสร้างความคุ้นเคย ส่วนแกะเป็นสิ่งที่เจ้าชายน้อยขอร้องนักบินเมื่อเจอกันครั้งแรกให้วาดแกะให้หน่อย จึงเป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ ความผูกพัน และมิตรภาพ ในขณะเดียวกันแกะมันมีทั้งความน่ารักและอันตราย เพราะมันสามารถที่จะกินรากของต้นเบาบับและดอกกุหลาบได้ หรืออาจเป็นสัญลักษณ์ของจิตใต้สำนึกของมนุษย์เราก็ได้ ในการจัดแสดงผมจึงนำลูกแกะสองตัวไปตั้งบนเคาน์เตอร์รับแขกที่มีแจกันดอกกุหลาบ”

“ส่วนเจ้าชายน้อยเป็นตัวละครหลักที่ผมไม่ได้แตะในเรื่องของการใส่คอนเซปต์อะไรเข้าไปมาก แต่ออกแบบให้ดูการ์ตูนน่ารักๆ หน่อย และกุหลาบตอนแรกก็ปั้นแบบมีหนามเยอะแยะ แต่เมื่อพออ่านเรื่องแล้ว กุหลาบของเจ้าชายน้อยมีแค่สี่หนาม จึงเอาออกให้เหลือแค่ตามที่ระบุในหนังสือ”
ติ้วเปิดเผยว่าจริงๆ แล้วเขายังออกแบบประติมากรรมเจ้าชายน้อยขี่บนหลังหมาจิ้งจอก เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความไว้เนื้อเชื่อใจภายหลังที่ความผูกพันเกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่ได้มีการผลิตจริง
“ทางคุณฌ็อง-มาร์กน่าจะมองว่ามันแอ็บสแตรกต์ไป มันอาจจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือ แต่สำหรับผมมองว่าเป็นสัญลักษณ์บางอย่างของความไว้ใจ ความผูกพันที่เกิดขึ้น แล้วเป็นบทสรุปว่าเจ้าชายน้อยไม่ได้หายไปไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสร้างความสัมพันธ์และผูกพันทั้งหมาจิ้งจอก แกะ และกุหลาบ ได้อยู่ด้วยกัน”
ศิลปินยังได้ขออนุญาตคุณฌ็อง-มาร์กในการสร้างคอลเลกชันประติมากรรมชุดเจ้าชายน้อยอีกหนึ่งอิดิชัน โดยตั้งเป้าว่าจะนำมาจัดแสดงที่ตลาดเก่าราชบุรีในเวลาที่เหมาะสม เพื่อโปรโมตศิลปะร่วมสมัย โดยใช้เรื่อง เจ้าชายน้อย เป็นสื่อกลาง

(ภาพ : วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์)
พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมของสะสมไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ภายในพิพิธภัณฑ์ Der Kleine Prinz und seine Welt (The Little Prince and His World) จัดแสดงหนังสือเจ้าชายน้อยกว่า 10,000 เล่ม ตั้งแต่ที่มีการตีพิมพ์ครั้งแรกและตีพิมพ์ในโอกาสพิเศษในภาษาต่างๆ และภาษาถิ่นกว่า 650 ภาษา หนังสืออักษรเบรลล์และหนังสือเสียง ไปรษณียากรหายาก รวมไปถึงภาพวาดต้นฉบับของ อ็องตวน เดอ แซ็งแต็กซูว์เปรี จดหมายรักถึงกอนซูเอโล (Consuelo de Saint-Exupéry) ภรรยาของเขา ผู้เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจเบื้องหลังการเขียนเจ้าชายน้อย และเชื่อกันว่าเป็นดอกกุหลาบในชีวิตจริงของนักเขียน สัญญาการตีพิมพ์หนังสือกับสำนักพิมพ์เรย์นัลแอนด์ฮิตช์ค็อก (Reynal & Hitchcock) ในนิวยอร์ก ชุดนักบินของนักเขียน และจดหมายฉบับสุดท้ายของเขา เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ.1944 ก่อนที่เขาจะหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยในการออกบินภารกิจลาดตระเวนในวันรุ่งขึ้น

(ภาพ : วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์)
การสะสมคอลเลกชันเกี่ยวกับเจ้าชายน้อยและ อ็องตวน เดอ แซ็งแต็กซูว์เปรี จนก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ที่มีของสะสมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เริ่มต้นขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มชาวสวิส ฌ็อง-มาร์ก ในวัย 17 ปี ได้รับหนังสือเรื่อง เจ้าชายน้อย ครั้งแรกจากคุณครูคนหนึ่งที่แนะนำให้เขาอ่าน และทำให้เขาตกหลุมรักเมื่ออ่านจบ หลังจากนั้นเขาได้พบเจ้าชายน้อย ฉบับภาษาญี่ปุ่น ที่กรุงโตเกียว ระหว่างการเดินทางรอบโลก และตั้งแต่นั้นมาเขาก็เริ่มซื้อฉบับต่างๆ ของหนังสือเล่มนี้ในทุกที่ที่เขาเดินทางไปและในทุกภาษาที่หาได้

(ภาพ : วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์)

ใน พ.ศ.2556 ฌ็อง-มาร์กก่อตั้งมูลนิธิฌ็อง-มาร์ก พร็อพสต์ เพื่อเจ้าชายน้อย ที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของ อ็องตวน เดอ แซ็งแต็กซูว์เปรี และถ่ายทอดสารว่าด้วยมิตรภาพ ความเป็นมนุษย์ และพลังแห่งจินตนาการ ให้เข้าถึงผู้คนในวงกว้าง และต่อยอดมาถึงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ Der Kleine Prinz und seine Welt (The Little Prince and His World) ในปี พ.ศ. 2568 ในขณะที่เขาอายุ 69 ปี

(ภาพ : วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์)

“นอกจากประติมากรรมของผมแล้ว ตรงทางเข้าพิพิธภัณฑ์ยังมีประติมากรรมเจ้าชายน้อยโดยศิลปินชาวอิหร่าน และประติมากรรมสีขาวโดยศิลปินชาวสวิสอีกหนึ่งชิ้นบริเวณสวน คุณฌ็อง-มาร์กเป็นคนที่ทำตามความฝันตัวเองจนเป็นที่ประจักษ์ ผมคิดว่าสุดยอดมากที่ใครสักคนหนึ่งที่มีความฝันตั้งแต่วัยเด็กแล้วไม่เคยทิ้งแค่รอจังหวะและเวลาที่เหมาะสมจนเป็นจริงขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่งที่สามารถทำได้” ติ้วที่ได้ไปร่วมในงานเปิดตัวพิพิธภัณฑ์กล่าวทิ้งท้าย
Fact File
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ Der Kleine Prinz und seine Welt (The Little Prince and His World) ที่ https://museum-derkleineprinz.com/