วัดสุทัศน์ ครั้งแรกกับการซ่อมภาพสัตว์หิมพานต์อายุกว่า 200 ปีที่โลกลืม
Arts & Culture

วัดสุทัศน์ ครั้งแรกกับการซ่อมภาพสัตว์หิมพานต์อายุกว่า 200 ปีที่โลกลืม

Focus
  • นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การสร้างวัดสุทัศน์ ที่มีการปลดภาพเขียนสีฝุ่นบนกระดาษข่อยอายุกว่า 200 ปี พร้อมกรอบแบบโบราณที่ประดับเหนือกรอบประตูหน้าต่างภายในพระวิหารหลวงลงมาซ่อมแซมและอนุรักษ์
  • ภาพเขียนสีฝุ่นบนกระดาษข่อยวัดสุทัศน์ มีจำนวนทั้งสิ้น 48 ภาพ แต่ชำรุดเสียหายไป 2 ภาพ เป็นงานจิตรกรรมชั้นยอดยุคต้นรัตนโกสินทร์ แต่ชุดที่สำคัญที่สุดคือภาพชุดที่ประดับเหนือบานประตูกลางที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งหลงเหลืออยู่เพียง 1 ภาพจากทั้งหมด 3 ภาพ
  • งานชุดจิตรกรรมในกรอบนี้เล่าเรื่องสัตว์หิมพานต์ที่สมบูรณ์แบบและมีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย

วัดสุทัศน์ นอกจากจะยืนหนึ่งเรื่องขนาดความใหญ่ของพระวิหารหลวงแล้ว จิตรกรรมฝาผนังภายในพระวิหารหลวงยังได้รับการยกย่องให้เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยประเพณี เพราะทรงคุณค่าด้วยฝีมือบรมครูช่างสมัยต้นรัตนโกสินทร์ แต่ภายในวัดยังมีงานศิลปะชั้นเยี่ยมที่โลกลืมมากว่า 200 ปี

เมื่อเข้าไปภายในพระวิหารหลวงทุกคนจะทึ่งกับจิตรกรรมฝาผนังที่สร้างสรรค์อย่างวิจิตรจากพื้นจรดเพดานว่าด้วยเรื่องประวัติพระพุทธเจ้า 27 พระองค์ รวมไปถึงเสาสี่เหลี่ยมทั้งแปดต้นก็เขียนภาพเรื่องไตรภูมิโลกสัณฐานว่าด้วยภพภูมิ โลก และจักรวาล ตามคติความเชื่อทางพุทธศาสนา

เที่ยววัดสุทัศน์

ทว่าหากมีเวลาพินิจพิจารณาเราจะเห็นว่าเหนือกรอบประตูและหน้าต่าง วัดสุทัศน์ จะมีภาพชุดจิตรกรรมสีฝุ่นบนกระดาษข่อยบรรจุในกรอบไม้แกะสลักลวดลายพรรณพฤกษาอย่างฝรั่งประดับอยู่เหนือช่องประตูหน้าต่างช่องละสามภาพ รวม 48 ภาพ แต่เนื่องจากตำแหน่งที่ติดตั้งอยู่สูงห่างไกลสายตาจึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สังเกตเห็นและไม่ได้รับการเหลียวแลทั้งที่เป็นงานฝีมือชั้นสูงของช่างหลวงในราวสมัยรัชกาลที่ 3 และ 4 และเป็นภาพชุดจิตรกรรมที่เล่าเรื่องสัตว์หิมพานต์ที่สมบูรณ์แบบและมีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย

เที่ยววัดสุทัศน์

ครั้งแรกในรอบ 200 ปีกับซ่อมภาพเขียนสีฝุ่นชุดสัตว์หิมพานต์

เป็นเวลากว่า 200 ปีที่ภาพจิตรกรรมในกรอบชุดนี้ติดตั้งอยู่ภายในพระวิหารหลวงโดยไม่เคยนำลงมาบูรณะซ่อมแซม จนกระทั่ง 7 ปีที่แล้วที่ทางวัดเริ่มดำริโครงการอนุรักษ์ เพราะภาพเหล่านี้ส่งสัญญาณเตือนว่าอยู่ในสถานะ “ไม่ปลอดภัย”

ดั่งโชคชะตา เพราะผู้ที่รับผิดชอบอนุรักษ์ภาพเขียนเก่าล้ำค่านี้คือ ขวัญจิต เลิศศิริ ที่เคยใฝ่ฝันว่าอยากซ่อมแซมตั้งแต่เธอได้เห็นภาพเหล่านี้เมื่อ 28 ปีที่แล้วขณะเป็นนักศึกษาปี 1 แผนกจิตรกรรมไทยที่โรงเรียนเพาะช่าง เมื่ออาจารย์สมปอง อัครวงษ์ ครูประจำวิชาจิตรกรรมไทยพามาทัศนศึกษาที่วัดสุทัศน์

เที่ยววัดสุทัศน์
ขวัญจิต เลิศศิริ หมอศิลปะ ผู้ทำการซ่อมแซมภาพจิตรกรรม

“เมื่อเห็นครั้งแรกรู้สึกประทับใจมาก แต่ก็แปลกใจว่าทำไมภาพเหล่านี้ดูชำรุดทรุดโทรม เราถามอาจารย์ว่าทำไมไม่มีใครเอาไปซ่อม อาจารย์ตอบว่าเขารอนักอนุรักษ์ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำว่านักอนุรักษ์ ที่อัศจรรย์มากคือตลอด 28 ปีนับตั้งแต่นั้นมาไม่เคยมีใครซ่อมเลย กรมศิลปากรมีแต่โครงการอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนัง แต่ไม่เคยมีการซ่อมภาพในกรอบ อาจเพราะภาพมีกระจกเปราะบางและมีน้ำหนักมาก การเคลื่อนย้ายลงมามีความเสี่ยงสูง ไม่มีใครเอากล้าถอดลงมา ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดนักอนุรักษ์ที่สามารถซ่อมงานประเภทนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เอาภาพเหล่านี้ลงมาซ่อมแซม”

ขวัญจิตเล่าถึงโครงการอนุรักษ์ที่เธอดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 7 ปี นับตั้งแต่เธอดำรงตำแหน่งนายช่างศิลปกรรมของกรมศิลปากรจนกระทั่งออกมาทำงานอิสระ

สัญญาณเตือนว่าภาพจิตรกรรมเหล่านี้อยู่ในภาวะเสี่ยงต้องรีบพาไปหาหมอศิลปะเริ่มเมื่อ 7 ปีที่แล้วที่งานจิตรกรรมในกรอบชิ้นหนึ่งภายในพระอุโบสถตกลงมาแตก ทางวัดส่งภาพไปให้ร้านกรอบรูปตัดกระจกเข้ากรอบใหม่ แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทางร้านใช้กาวลาเทกซ์ปิดภาพเข้ากรอบเพียงเพื่อให้แน่นและดูสวยงาม จะด้วยความบังเอิญหรือความโชคดีที่อาจารย์พีระพัฒน์ สำราญ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรไปเห็นเข้า ท่านจึงแนะนำว่าซ่อมแบบนี้อาจสร้างความเสียหายให้กับงานได้ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญที่กรมศิลปากรเข้ามาดูแล

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ขวัญจิต ณ ขณะนั้นยังรับราชการที่กรมศิลปากรและได้รับการยกย่องว่าเป็นมือหนึ่งในการซ่อมงานจิตรกรรมได้เข้ามาสำรวจงานศิลปะภายในวัดสุทัศน์

“เราพบว่าที่งานตกลงมาแตกเพราะพุกเหล็กที่ใช้แขวนภาพเป็นสนิมกัดกร่อน ผุและหัก นั่นแสดงว่าภาพทั้งหมดอยู่ในความเสี่ยง จำเป็นต้องเร่งทำการสำรวจและมีแผนดำเนินการอนุรักษ์ ภายหลังเมื่อทางวัดมีโครงการจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึกโดยเสด็จพระราชกุศลการออกพระเมรุพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ จึงมีเงินที่ได้รับบริจาคบางส่วน พระท่านจึงเห็นควรให้อนุรักษ์ซ่อมแซมภาพจิตรกรรมในกรอบภายในพระวิหารหลวงก่อนเพราะมีอายุมากกว่างานในพระอุโบสถ”

เที่ยววัดสุทัศน์
การซ่อมแซมที่คงสภาพภาพเดิมให้มากที่สุด

ต้นแบบภาพสัตว์หิมพานต์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศไทย

ภาพชุดนี้มีทั้งหมด 48  ภาพแต่เสียหายไป 2 ภาพที่ประดับเหนือช่องประตูกลางเมื่อครั้งเกิดเหตุไฟไหม้บานประตูไม้แกะสลักฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่2 ในปี 2502 (ประตูไม้ชิ้นนี้ปัจจุบันจัดแสดงที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร) จึงเหลือทั้งหมด 46 ภาพที่ต้องได้รับการซ่อมแซมจากโดนปลวกกัด กระดาษบวม และฉีกขาด เต็มไปด้วยเชื้อราและคราบสกปรก สีซีดจางและหลุดลอก

ขวัญจิตจะทยอยนำลงมาซ่อมครั้งละประมาณสามภาพ โดยประเมินว่าชิ้นไหนอาการโคม่าที่สุดให้รีบเอามารักษาก่อน ประมาณ 20 ภาพได้รับการบูรณะเรียบร้อยและนำไปติดตั้งยังที่เดิมแล้ว  หากมีโอกาสไปเที่ยววัดจะสังเกตเห็นได้ชัดว่าภาพไหนผ่านการอนุรักษ์มาแล้ว

“เราไม่เคยพบภาพชุดสัตว์หิมพานต์ที่ไหนในไทยที่สมบูรณ์และมากที่สุดเท่าวัดนี้ เป็นงานศิลปะไทยประเพณีฝีมือชั้นครู แต่ความพิเศษคือการเข้ากรอบรูปอย่างตะวันตกทำให้งานดูร่วมสมัยซึ่งเริ่มมีการประยุกต์ใช้แบบแผนศิลปะอย่างฝรั่งในช่วงรัชกาลที่ 3 เพราะส่วนใหญ่งานประเพณีไทยนิยมเขียนบนผนังมากกว่า” ขวัญจิตผู้มีประสบการณ์งานด้านอนุรักษ์มากว่า 28 ปี กล่าว

วัดสุทัศน์ ศูนย์กลางกรุงเทพฯ ที่เปรียบได้ดั่งเขาพระสุเมรุ

ตามคติการสร้างเมืองแบบโบราณ รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้าง วัดสุทัศน์ ขึ้นกลางพระนคร เปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางจักรวาล และสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกเมื่อปี 2535 การออกแบบพระวิหารหลวงจึงจำลองเป็นเขาพระสุเมรุและภาพชุดจิตรกรรมสัตว์หิมพานต์จึงได้รับการสร้างสรรค์ให้สอดคล้องกับคติความเชื่อดังกล่าว

“ภาพจิตรกรรมในกรอบภายในพระอุโบสถเป็นภาพจับรามเกียรติ์ หมายถึงภาพต่อสู้กัน และวัสดุแตกต่างกับในพระวิหารหลวงอย่างเห็นได้ชัด คือกระดาษที่ใช้วาดภาพเป็นสมัยใหม่คล้ายๆ กระดาษเยื่อไผ่ของจีน ตามประวัติพระวิหารหลวงสร้างก่อนพระอุโบสถและภาพเขียนวาดตามแบบแผนภาพสัตว์หิมพานต์บนกระดาษข่อยทำมือ  สิ่งที่น่าทึ่งคือการทำกระดาษข่อยขนาดใหญ่อย่างนี้เป็นเรื่องยาก เป็นทักษะของช่างชั้นสูงมาก”

วัดสุทัศน์
การซ่อมแซมภาพ

ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ที่บ้านพักของเธอในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขวัญจิตและทีมงานกำลังซ่อมแซมอีกสี่ภาพในชุดสัตว์หิมพานต์นี้ บางภาพอยู่ในขั้นตอนการถมซ่อมชั้นรองพื้นด้วยดินสอพองและกาวเมล็ดมะขามเพื่อปิดประสานช่องโหว่ของรองพื้นเดิมที่ชำรุดและเพื่อรองรับการเขียนสีซ่อมใหม่ และบางภาพอยู่ระหว่างการเขียนสีซ่อมโดยเติมเฉพาะบนชั้นรองพื้นดินสอพองใหม่เท่านั้นด้วยวิธีการดิ่งเส้นคัดน้ำหนักสีด้วยพู่กันหัวเล็กให้ดูกลมกลืนกับของเก่า แต่สามารถแยกได้ว่าส่วนไหนใหม่และเก่า

การคัดน้ำหนักสีต้องไม่ให้ทับรอยครูช่างและซ่อมเฉพาะส่วนที่ชำรุดเท่านั้น สีที่ใช้ซ่อมเป็นสีน้ำเกรดอาร์ติสที่ผ่านการวิจัยในแล็บว่าไม่ซีดจางในระยะเวลาสั้น เพราะตามหลักการอนุรักษ์สากลระบุว่าสีที่ใช้ต้องเอาออกได้ในอนาคต ขวัญจิตยังกล่าวว่าที่ไม่ใช้สีฝุ่นในการซ่อม เพราะสีฝุ่นทึบและน้ำหนักเยอะทำให้เวลาซ่อมนั้นกลมกลืนกับของเก่ายาก

“วันข้างหน้าสัก 50 ปี ถ้าสีที่เราซ่อมมีปัญหาก็ซับออกได้ เขียนทับใหม่ได้”

ส่วนกระดาษที่เสียหายใช้กระดาษสาญี่ปุ่นช่วยผนึกด้านหลังให้แข็งแรง เพราะถ้าใช้กระดาษข่อยจะหนาและแข็งทำให้เวลาซ่อมแล้วกระดาษไม่เรียบเนียน

วัดสุทัศน์

คืนชีวิตภาพเขียนที่ถูกไฟไหม้ให้กลับคืนวิหาร

ในการอนุรักษ์ครั้งนี้มีภาพหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นก็คือภาพเขียนที่หลงเหลือมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้บานประตูไม้เมื่อปี 2502 ซึ่งเดิมทีเหนือบานประตูได้แขวนภาพไว้ทั้งหมดสามภาพ และได้ถูกไฟไหม้มอดไปไม่เหลือซากถึงสองภาพ แต่กระนั้นก็ยังนับว่าเป็นโชคที่ภาพที่เหลือยังคงรายละเอียดของภาพสมบูรณ์มาก

ในเอกสารของหอจดหมายเหตุแห่งชาติได้ทำการบันทึกข้อมูลของทั้งสองภาพที่ไฟไหม้วอดว่า ภาพชุดนี้ประกอบด้วยภาพช้างห้าเชือกอยู่ในกรอบกระจกขนาดใหญ่ตรงกลาง และมีภาพม้าประดับอยู่สองข้าง สันนิษฐานว่าคงเป็นภาพช้างฉัตทันต์และบริวาล และภาพฝูงม้าหลายตระกูลคล้ายคลึงกับภาพม้าซึ่งอยู่ในกรอบกระจกด้านซ้ายที่เหลืออยู่ เอกสารชุดนี้จึงใช้เป็นหลักฐานในการที่จะฟื้นฟูเขียนภาพสันนิษฐานของสองภาพที่เสียหายให้กลับคืนสู่วิหารวัดสุทัศน์อีกครั้ง

“ในจำนวนสามภาพที่ติดเหนือบานประตูใหญ่ถูกไฟไหม้เหลือรอดเพียงรูปเดียว แต่ตอนที่มาถึงมือเราอยู่ในสภาพกระดาษเปราะกรอบหมดเลยจากเขม่าควันและความร้อน และภาพฉีกขาดผ่ากลาง  เราปรึกษากับทางวัดว่าเราน่าจะฟื้นฟูอีกสองภาพที่เสียหายไปขึ้นมาใหม่โดยใช้การสันนิษฐานจากข้อมูลเอกสารจดหมายเหตุที่บันทึกเหตุการณ์ว่าเมื่อตอนไฟไหม้อะไรเสียหายบ้าง ในนั้นระบุว่าสองภาพที่เสียหายเป็นภาพม้าและช้าง แม้ไม่ได้ลงรายละเอียดลักษณะของชิ้นงาน แต่เมื่อเราสืบค้นจากสมุดภาพไตรภูมิในหอสมุดแห่งชาติ และจากงานจิตรกรรมฝาผนังในหอไตรที่ตำหนักวาสุกรี วัดโพธิ์ ที่เขียนเรื่องตระกูลม้าและช้าง เป็นจิตรกรรมในยุคสมัยเดียวกัน ทำให้เราพอสันนิษฐานรูปแบบได้”

วัดสุทัศน์
ช้างประเภทต่างๆ

ขวัญจิตกล่าวว่าตามตำราภาพสัตว์หิมพานต์ ม้ามีเจ็ดจำพวก และในหนึ่งภาพที่เหลือมีม้าอยู่สี่จำพวก จึงสันนิษฐานว่าภาพที่เสียหายภาพหนึ่งน่าจะระบุถึงม้าอีกสามจำพวก ส่วนภาพชิ้นใหญ่อีกภาพน่าจะเป็นภาพช้างมงคล

“จากการค้นคว้าพบว่าม้าและช้างชุดนี้เป็นสัตว์มงคลประดับบารมีของพระจักรพรรดิราช เนื่องจากเป็นภาพชุดที่แขวนอยู่บนประตูกลางที่เป็นบานเสด็จฯ เข้าสู่พระวิหารหลวงของพระมหากษัตริย์  ในสมุดไทยจะบอกลักษณะของม้าและช้างแต่ละตัวว่าชื่ออะไร ลักษณะสีเป็นยังไง และมีภาพเขียนประกอบ  เราเลยยึดตำรานั้นมาเป็นเกณฑ์และให้จิตรกรที่เป็นครูจิตรกรรมไทยจากเพาะช่างร่างแบบขึ้นมาและเขียนใหม่เพื่อเติมเต็มสองภาพที่หายไป  เราจะบันทึกเหตุการณ์นี้ลงในจดหมายเหตุด้วยว่ามีการซ่อมและเขียนขึ้นใหม่”

วัดสุทัศน์
ภาพความหลากหลายของสัตว์หิมพานต์

ภูมิปัญญาช่าง 10 หมู่ที่รวมอยู่ในภาพ

นอกจากภาพวาดแล้วกรอบไม้และกระจกยังสะท้อนภูมิปัญญาช่างไทยในสมัยโบราณ กรอบทำจากไม้สักแกะลวดลายอย่างตะวันตกและปิดทอง เสากลมที่ประดับมีการเซาะร่องยาวเป็นแนวตั้งและตกแต่งบัวหัวเสาแกะสลักลวดลายใบไม้หล่อด้วยโลหะ คิ้วบัวยังประดับด้วยไม้กลึงเป็นเม็ดกลม

“ทำงานชุดนี้สนุก เพราะเราได้เรียนรู้ไปกับงานด้วย เราทึ่งทั้งแนวคิดการวาดภาพและเทคนิคช่าง  ตอนที่เราได้งานมาชิ้นแรกเราหาทางเอาภาพออกจากกรอบไม่ได้ เพราะกรอบไม่เหมือนสมัยปัจจุบันที่มีตะปูและไม่เคยมีการบันทึกว่าภาพถูกตรึงอย่างไร จนกระทั่งเมื่อทำความสะอาดกรอบรูป สามี (สุริยะ เลิศศิริ) สังเกตเห็นว่าบริเวณด้านบนของกรอบมีเสี้ยนไม้คนละทางจึงค่อยๆ ใช้สิ่วลองขูดดูจึงพบลิ่มสี่ตัวเล็กๆ จากนั้นเมื่อค่อยๆ ลองถอดเอาลิ่มออกและใช้ค้อนทุบเบาๆ กรอบจึงคลอนและถอดออกได้ นี่คือความฉลาดและทักษะงานช่างชั้นสูง”

วัดสุทัศน์
สุริยะ เลิศศิริ ผู้ถอดสลักกลไกของกรอบรูปโบราณออกมาได้

สุริยะซึ่งจบด้านประติมากรรมสากลจากโรงเรียนเพาะช่างเช่นกัน กล่าวเสริมว่างานชุด วัดสุทัศน์ นี้นับว่าเป็นงานที่รวมทักษะของช่าง10 หมู่ทั้งงานเขียน แกะสลัก กลึง ลงรักปิดทอง และหล่อโลหะ

“ในสมัย 200 ปีที่แล้วยังไม่มีสว่านและกบไฟฟ้า ทุกอย่างใช้แรงงานมือทั้งหมด ช่างเมื่อก่อนทำได้อย่างไรที่ทำกรอบไม้ได้เนี้ยบจากไม้ชิ้นเดียว ซ้ำยังประดับด้วยเสากลึงด้วยมือทั้งท่อน ตรงร่องเสายังทำลายเส้นประดับอีก นอกจากนี้ยังหล่อตะกั่วเป็นรูปใบมะกอกเพื่อติดประดับที่เสาอีก กระจกยังเป็นแบบโบราณที่ใช้แก้วหลอมและดึงยืดออกมา  ปัญหาคือไม่สามารถเอาฟองอากาศออกได้และกำหนดความหนาบางไม่ได้ ไม่เหมือนสมัยใหม่ที่เรียบใส ไม่มีฟองอากาศ” สุริยะเน้นย้ำว่าในการอนุรักษ์จะเก็บรักษาของเดิมทั้งหมด

เที่ยววัดสุทัศน์
กรอบและกระจกแบบโบราณ

ขวัญจิตและสุริยะปฏิเสธที่จะใช้กระจกแบบมิวเซียมกลาสที่มีผู้หวังดียินดีเป็นสปอนเซอร์ให้ในโครงการนี้

“มิวเซียมกลาสเป็นกระจกไม่มีแสงสะท้อนและกรองรังสียูวีได้ 99 เปอร์เซ็นต์ แต่เราไม่ใช้ เพราะเราต้องอนุรักษ์สิ่งที่มากับชิ้นงานและแสดงให้เห็นว่ากระจกเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีในอดีต เป็นหลักฐานยืนยันว่าคนในอดีตทำอะไรได้บ้าง ถึงแม้ไม่ใช่กระจกที่ดีเพราะมีเงาสะท้อนเยอะ แต่สิ่งนี้บอกว่าคนโบราณฉลาดทำกระจกเองได้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3”

ในปี 2559 ทางวัดและทีมงานของขวัญจิตได้จัดทำหนังสือ “จิตรกรรมภาพสัตว์หิมพานต์” จำนวน 2,000 เล่ม บันทึกทุกขั้นตอนการอนุรักษ์อย่างละเอียดของงานชุดแรกเพื่อเสด็จพระราชกุศลพระราชทานในงานออกเมรุพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ อดีตเจ้าอาวาส เพื่อเป็นการรักษาสืบทอดแบบแผนงานช่างจิตรกรรมไทยให้แพร่หลายและเพื่อใช้ในการศึกษาค้นคว้า

ทั้งนี้ทางวัดมีแผนที่จะจัดพิมพ์หนังสือเล่มที่ 2 อีกครั้งในจำนวนพิมพ์ที่มากขึ้น โดยเพิ่มเนื้อหาด้านการอนุรักษ์เพื่อเผยแพร่เป็นวิทยาทานและเป็นข้อมูลอ้างอิงในการทำงานอนุรักษ์โครงการอื่นๆ

เที่ยววัดสุทัศน์
บานประตูไม้แกะสลักฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่2 ของเดิมที่ถูกไฟไหม้ ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร
วัดสุทัศน์
ความละเอียดของงานแกะสลักไม้บานประตู

“หนังสือเล่มแรกส่วนใหญ่เป็นภาพถ่ายก่อนการอนุรักษ์ แต่เล่มที่ 2  จะรวบรวมข้อมูลงานอนุรักษ์ทั้งหมดที่ทำมา และภาพสันนิษฐานที่เราจะเขียนใหม่สองภาพ พยายามให้ลงทันเล่มนี้ แต่ถ้าไม่ทัน เราจะใช้ภาพสเกตช์แทน เพราะเราไม่อยากกดดันคนทำงาน อยากได้งานที่ดีที่สุด เพราะงานที่วัดสุทัศน์นี้เป็นสุดยอดงานศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น” ขวัญจิตย้ำ

Fact File

  • วัดสุทัศน์ ตั้งอยู่บนถนนบำรุงเมือง กรุงเทพฯ โทร.  0-2622-2819

Author

เกษศิรินทร์ ผลธรรมปาลิต
Feature Editor ประจำ Sarakadee Lite อดีต บรรณาธิการข่าวไลฟ์สไตล์ Nation ผู้นิยมคลุกวงในแวดวงศิลปวัฒนธรรมจนได้ขุดเรื่องซีฟๆ มาเล่าสู่กันฟังเสมอ

Photographer

ชัชวาล จักษุวงค์
เคยเป็นนักรีวิว gadget มานานหลายปี ตอนนี้หันมาเอาดีด้านงานถ่ายภาพ ถนัดงานด้านการบันทึกภาพวิถีชีวิตผู้คนและสายการเดินทางท่องเที่ยว
วิจิตต์ แซ่เฮ้ง
เป็นคนกรุงเทพฯ เกิดที่ฝั่งธนฯ เรียนชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย ต่อระดับปริญญาตรีสาขาเทคโนโลยีทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มศว ประสานมิตร เมื่อเรียนจบใหม่ ๆ ทำงานเป็นผู้ช่วยดีเจคลื่นกรีนเวฟพักหนึ่ง ก่อนมาเป็นนักเขียนและช่างภาพที่กองบรรณาธิการนิตยสาร ผู้หญิงวันนี้ จากนั้นย้ายมาเป็นช่างภาพสำนักพิมพ์สารคดีปี 2539 โดยถ่ายภาพในหนังสือชุด “เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน” ต่อมาถ่ายภาพลงนิตยสาร สารคดี มีผลงานเช่นเรื่อง หมอเทีย ปอเนาะ เป่าแก้ว กะหล่ำปลี โรคหัวใจ โทรเลข ยางพารา ฯลฯ