Grand Egyptian Museum พิพิธภัณฑ์อารยธรรมอียิปต์โบราณที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในโลก
- Grand Egyptian Museum (GEM) พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมและจัดแสดงหลักฐานวัตถุพยานทางโบราณคดีของอารยธรรมอียิปต์โบราณที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์
 - ตัวพิพิธภัณฑ์มีทั้งส่วนที่เป็นพื้นที่จัดแสดงบนดิน และไล่ระดับความลึกลงไปใต้ดินประหนึ่งกำลังเดินอยู่ในพีระมิด ตัวอาคารเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมอันเป็นไอโคนิกของพีระมิด
 
หลังจากรอคอยมากว่า 20 ปี ในที่สุด Grand Egyptian Museum (GEM) พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมและจัดแสดงหลักฐานวัตถุพยานทางโบราณคดีของอารยธรรมอียิปต์โบราณที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในโลก ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ก็มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2025 กับการจัดแสดงโบราณวัตถุกว่า 100,000 ชิ้น ตั้งแต่ยุคก่อนราชวงศ์หรือก่อนมีฟาโรห์ จนกระทั่งถึงยุคกรีก-โรมัน

ความโดดเด่นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เริ่มจากความยิ่งใหญ่ของโครงสร้างสมชื่อ Grand Egyptian Museum โดยมีทั้งส่วนที่เป็นพื้นที่จัดแสดงบนดิน และไล่ระดับความลึกลงไปใต้ดินประหนึ่งกำลังเดินอยู่ในพีระมิด ตัวอาคารเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมอันเป็นไอโคนิกของพีระมิด ทำให้พิพิธภัณฑ์กลมกลืนไปกับพีระมิดและโบราณสถานอายุนับพันปีที่รายล้อมโดยเฉพาะมหาพีระมิดกีซา (Giza Plateau) ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน

รัฐบาลอียิปต์ประกาศสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ที่ทำหน้าที่ทั้งจัดแสดงและอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ไอยคุปต์ที่ยิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในโลกใน ค.ศ. 2002 ด้วยงบประมาณเบื้องต้นราว 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปีถัดมาได้มีการประกวดออกแบบก่อสร้างและบริษัทที่ชนะการประกวดคือบริษัท Heneghan Peng Architects พิพิธภัณฑ์เริ่มก่อสร้างใน ค.ศ. 2005 แต่มีการหยุดชะงักด้วยเหตุผลหลายอย่างทั้งด้านสิ่งแวดล้อม งบประมาณ และความไม่มั่นคงทางการเมือง รวมไปถึงเหตุการณ์อาหรับสปริงใน ค.ศ. 2011 ตามด้วยเหตุการณ์รัฐประหารใน ค.ศ. 2013 และการระบาดของโควิด 19 จากนั้นจึงได้กลับมาก่อสร้างอีกครั้ง โครงการครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 500,000 ตารางเมตร หรือเทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 70 สนาม และงบประมาณในการก่อสร้างขยับสูงขึ้นถึงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 32,000 ล้านบาท


สิ่งที่พิเศษสุดและหาดูไม่ได้จากพิพิธภัณฑ์อื่นคือ การจัดแสดงสมบัติทั้งหมดจำนวนกว่า 5,000 ชิ้น จากสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ “ตุตันคาเมน” ผู้ปูทางอียิปต์โบราณสู่ราชอาณาจักรใหม่อันเป็นยุครุ่งเรืองของอียิปต์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการจัดแสดงสิ่งของเกี่ยวกับฟาโรห์หนุ่มไว้มากที่สุดนับตั้งแต่สุสานของพระองค์ถูกขุดค้นพบโดย โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) นักโบราณคดีชาวอังกฤษ เมื่อ ค.ศ. 1922 โดยก่อนหน้านี้มีเพียงประมาณ 1,800 ชิ้น ที่เคยถูกนำออกมาจัดแสดง


นอกจากแกลลอรีของฟาโรห์ตุตันคามุน ยังมีการจัดแสดง เรือพิธีศพของฟาโรห์คูฟู (Khufu) อายุราว 4,500 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือที่เก่าแก่และคงสภาพดีที่สุดจากยุคโบราณ ซึ่งฟาโรห์คูฟูเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สร้าง “มหาพีระมิดแห่งกีซา” (Great Pyramid of Giza) ซึ่งเป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในอียิปต์ และเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
อีกหนึ่งไฮไลต์คือ เสาโอเบลิสก์ ขนาดยาว 16 เมตร อายุราว 3,200 ปี ของฟาโรห์รามเสส ที่ 2 (Ramesses II) และรูปสลักของพระองค์ขนาดความสูง 11 เมตร ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งอยู่ที่ Ramses Square ในกรุงไคโร และได้ถูกเคลื่อนย้ายมาจัดแสดงที่นี่
ผู้ชมทั่วไปสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2025 เป็นต้นไป ซึ่งตรงกับวาระครบรอบ 103 ปีแห่งการค้นพบสุสานฟาโรห์ตุตันคามุน ทางรัฐบาลอียิปต์คาดหมายว่าที่นี่จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่เข้ามาชมราว 20,000 คนต่อวัน หรือประมาณ 8 ล้านคนต่อปี Sarakadee Lite ชวนไปสำรวจพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมแล้วที่จะเชื่อมโลกไอยคุปต์โบราณที่หลับใหลและอียิปต์ในอนาคตเข้าด้วยกัน

Grand Egyptian Museum “พีระมิดแห่งที่ 4 ของกีซา”
Grand Egyptian Museum ตั้งอยู่ในเขต เมืองกีซา (Giza) ห่างจากกรุงไคโรเมืองหลวงของอียิปต์ราว 20 กิโลเมตร รอบๆ พิพิธภัณฑ์เป็นที่ตั้งของกลุ่มพีระมิดอันโด่งดังแห่งกีซาที่มี 3 หลังหลัก ประกอบด้วย พีระมิดใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุดของอียิปต์ มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza) สร้างสมัย ฟาโรห์คูฟู เมื่อราว 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งตระหง่านอยู่กึ่งกลางระหว่างพีระมิดคาเฟร (Pyramid of Khafre) และพีระมิดเมนคู (Pyramid of Menkaure) รวมทั้งสิ่งก่อสร้างสุดไอคอนิกอย่างรูปปั้นสฟิงซ์ขนาดมหึมา ซึ่งนี่ทำให้ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ถูกเปรียบเป็น พีระมิดแห่งที่ 4 ของกีซา ที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษปัจจุบัน ซึ่งทางอียิปต์ภูมิใจนำเสนอการต่อยอดอดีตสู่ปัจจุบันด้วยงานสถาปัตยกรรมของตัวพิพิธภัณฑ์ที่กลมกลืนเชื่อมโยงอาคารสมัยใหม่กับโครงสร้างโบราณอันทรงคุณค่าที่ยังคงเป็นปริศนาระดับโลก


จากภายในอาคารพิพิธภัณฑ์สามารถมองเห็นมหาพีระมิดแห่งกีซาได้อย่างอลังการ พร้อมมีมุมให้ชมวิวและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก (observatory deck) คู่กับพีระมิดแห่งกีซาที่ถือเป็นจุดชมวิวแห่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครได้เห็นความยิ่งใหญ่มุมนี้มาก่อน อีกทั้งตัวพิพิธภัณฑ์เองก็ออกแบบเป็นรูปทรงพัด ที่คลี่ขยายออก แต่อยู่ในกรอบรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิด ซึ่งหากลากเส้นแกนจากยอดมหาพีระมิดแห่งกีซาทั้งสามมายังตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ ก็จะเป็นรูปทรงเรขาคณิตสามเหลี่ยมแบบเดียวกับพีระมิด สื่อความหมายของการส่งต่ออารยธรรมโบราณสู่ปัจจุบันและอนาคต

ชมสมบัติ “ฟาโรห์ตุตันคามุน” กว่า 5,000 ชิ้น
ไฮไลต์ที่โดดเด่นที่สุดภายในพิพิธภัณฑ์ คือ Tutankhamun Gallery แกลเลอรีเฉพาะของ ฟาโรห์ตุตันคามุน ยุวกษัตริย์ ฟาโรห์องค์ที่ 13 แห่งราชวงศ์ที่ 18 ยุคอาณาจักรใหม่ของอียิปต์โบราณ (ราว 1345-1327 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งห้อง Tutankhamun Galleries มีพื้นที่กว่า 7,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นส่วนจัดแสดงและจัดเก็บหลักฐานทางโบราณคดีจากสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน เรียกได้ว่าห้องนี้เก็บรวบรวมสมบัติฟาโรห์ตุตันคามุนไว้มากที่สุดก็ได้ เพราะมีให้ชมมากกว่า 5,000 ชิ้น โดยมีนักโบราณคดีชาวอังกฤษ โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ นำทีมออกสำรวจสุสานนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 1922
ภาพจำที่สื่อถึงความยิ่งใหญ่ของฟาโรห์ตุตันคามุนที่ถูกค้นพบจากสุสานนี้ คือหน้ากากทองคำรูปใบหน้าของตุตันคามุน ซึ่งได้ย้ายจากอียิปต์มิวเซียมมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ Grand Egyptian Museum อย่างถาวร นอกจากนี้ยังมีบัลลังก์ของฟาโรห์ แผ่นทองสลักรูปฟาโรห์ทรงรถเทียมม้าสำหรับออกศึก และข้าวของเครื่องใช้ทำจากทองคำอีกจำนวนมาก


แม้ห้อง Tutankhamun Galleries จะจัดแสดงสมบัติของฟาโรห์ตุตันคามุนมากกว่า 5,000 ชิ้น แต่มีเพียง “มัมมี่พระศพตุตันคามุน” เพียงชิ้นเดียวเท่านั้นที่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพเดิม ครอบด้วยโลงแก้วควบคุมอุณหภูมิ หลับใหลอยู่ภายในสุสานฟาโรห์ที่ Valley of the Kings เมืองลุกซอร์ ดินแดนที่เป็นแหล่งพำนักสุดท้ายของพระองค์ ซึ่งมัมมี่พระศพตุตันคามุนถูกขุดค้นพบในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1925 ตรงกับช่วง 3 ปีหลังจากพบสุสาน และถือเป็นมัมมี่ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดในบรรดามัมมี่ฟาโรห์ที่ถูกขุดค้นพบอีกด้วย

“ฟาโรห์รามเสสที่ 2”ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอียิปต์
ภาพแรกๆ ที่ทาง Grand Egyptian Museum ปล่อยออกมาสู่สาธารณชน คือ ภาพรูปปั้นเต็มตัวขนาดมหึมาของ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 (Ramesses II) ความสูง 11 เมตร อายุกว่า 3,000 ปี ยืนตระหง่านต้อนรับผู้มาเยี่ยมชม ณ บริเวณแกรนด์ฮอลล์ (Grand Hall) ที่เป็นโถงต้อนรับแรกภายในอาคารพิพิธภัณฑ์หลัก โดยทางทีมนักโบราณคดีของอียิปต์ได้ร่วมกับสถาปนิก และฝ่ายวิศวกรจัดวางรูปปั้นของพระองค์ในองศาที่แสงอาทิตย์สามารถส่องกระทบใบหน้าขององค์ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ได้ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งเป็นการจำลองแบบการจัดวางมาจากต้นแบบในวิหารไอยคุปต์โบราณอายุกว่า 3,000 ปี นั่นก็คือมหาวิหารอาบูซิมเบล (Great Temple of Abu Simbel) ที่นั่นมีรูปสลักขององค์ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ขนาดใหญ่อยู่ด้านใน ซึ่งมหาวิหารอาบูซิมเบลถูกออกแบบด้วยความแม่นยำทางดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นวิทยาการอันน่าทึ่งของชาวไอยคุปต์โบราณ โดยกำหนดให้แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้าไปในห้องศักดิ์สิทธิ์ด้านในสุดของวิหาร ลึกเข้าไปถึง 60 เมตร ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ของทุกปี


สำหรับรูปปั้น ฟาโรห์รามเสสที่ 2 อายุกว่า 3,000 ปี ที่ตั้งอยู่ใน Grand Egyptian Museum ทำจากหินแกรนิตสีแดง ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1820 ที่ Mit Rahina ใกล้กับพื้นที่ที่เคยเป็นเมืองเมมฟิสในอดีต โดยเมื่อแรกพบรูปปั้นฟาโรห์รามเสสที่ 2อยู่ในสภาพกระจัดกระจายแตกเป็นท่อนๆ 6 ชิ้น ก่อนจะถูกเคลื่อนย้ายออกมาบางชิ้นเพื่อทำการอนุรักษ์ซ่อมแซมใน ค.ศ. 1955 และสุดท้ายนำมาประกอบเป็นรูปปั้นที่สมบูรณ์ใน ค.ศ. 2018

ฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 เป็นฟาโรห์ที่ถือว่ายิ่งใหญ่ ครองราชย์ยาวนานที่สุดในอียิปต์โบราณกว่า 67 ปี (1279-1213 ปีก่อนคริสตกาล) และขยายอาณาจักรและการค้าขายกับนานาชาติทั้งทางบกทางทะเล สร้างความมั่งคั่งและถือเป็นยุคทองของอียิปต์อย่างแท้จริง

ลวดลายสามเหลี่ยม “สัญลักษณ์พีระมิด”เชื่อมอดีตสู่ปัจจุบัน
สำหรับแนวคิดหลักของการออกแบบอาคาร Grand Egyptian Museum ทางทีมสถาปนิกจากบริษัท Heneghan Peng Architects ตั้งใจว่าจะไฮไลต์คุณค่าทางสถาปัตยกรรมและงานออกแบบของอียิปต์โบราณ ให้สามารถเชื่อมโยงกับอาคารสมัยใหม่และเทคโนโลยีใหม่ทางสถาปัตยกรรมโดยเน้นการใช้ “สามเหลี่ยม” ที่เป็นภาพจำเมื่อเอ่ยถึงพีระมิดหรือไอยคุปต์

ด้านหน้าของอาคารจึงใช้เรขาคณิตทรงสามเหลี่ยม อีกทั้งลวดลายผนังด้านนอกก็เป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ สัญลักษณ์ของพีระมิดนำมาประกอบกัน มุกด้านหน้าอาคารหรือฟาซาดที่อยู่เหนือประตูทางเข้าอาคารพิพิธภัณฑ์สลักลวดลายอักษรเฮียโรกลิฟิกจารึกชื่อของบรรดาฟาโรห์และราชินีผู้ยิ่งใหญ่ของไอยคุปต์โบราณ

“เสาโอเบลิสม์” จัดวางใหม่ในแบบแขวนที่เดียวในโลก
บริเวณ “จตุรัสโอเบลิสก์” (Hanging Obelisk Square) ขนาด 28,000 ตารางเมตร ซึ่งอยู่บริเวณด้านนอกก่อนทางเข้าพิพิธภัณฑ์เป็นที่ติดตั้งของ “เสาโอเบลิสก์ (Obelisk)” ขนาดความยาว 16 เมตร อายุราว 3,200 ปี เป็นเสาที่สกัดจากแท่งหินท่อนเดียว สร้างสมัยฟาโรห์รามเสสที่ 2 เสานี้เป็นบันไดเชื่อมระหว่างโลกกับสวรรค์ เชื่อมระหว่างมนุษย์และทวยเทพ จุดที่มีเสาโอเบลิสก์ติดตั้งจึงถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการประกอบพิธีกรรมและพิธีการสำคัญในการบูชาและขอพรจากทวยเทพต่างๆ

เสาโอเบลิสก์ต้นนี้ถือเป็นหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นแรกที่คนมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์จะได้เห็น ก่อนเข้าสู่ห้องแสดงงานอื่นๆ ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ ความพิเศษของเสาต้นนี้คือเป็น เสาโอเบลิสก์แบบแขวน (Hanging Obelisk) ที่ไม่ได้ฝังอยู่กับพื้นดิน แต่ใช้วัสดุเหล็กกล้ายึดเสาให้ลอยขึ้นและเปิดโล่งให้ผู้ชมได้เห็นเสาทั้งต้นตั้งแต่โคนเสาถึงยอดเสาซึ่งมีการสลักจารึกอักษรภาพไว้ โดยเสาต้นนี้ได้สลักชื่อฟาโรห์รามเสสที่2 ตรงตามรูปแบบราชลัญจกรของฟาโรห์ด้านข้างโคนเสาอย่างชัดเจน ถือเป็นเสาโอเบลิสก์ต้นเดียวในโลกที่ติดตั้งแบบแขวนลอยจากพื้น ทั้งนี้ในบริเวณจตุรัสโอเบลิสม์ยังมีการเขียนอักษรคำว่า “อียิปต์” ในภาษาต่างๆ ทั่วโลกเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนจากต่างแดนและแน่นอนว่ามีภาษาไทยด้วย

(ภาพ : Ministry of Tourism and Antiquities )
“เรือพิธีศพของฟาโรห์คูฟู” ผู้สร้างมหาพีระมิดแห่งกีซา
อีกไฮไลต์ห้ามพลาดคือ เรือพิธีศพของฟาโรห์คูฟู (Khufu’s Solar Boat) อายุราว 4,500 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือที่เก่าแก่และคงสภาพดีที่สุดจากยุคโบราณ ฟาโรห์คูฟูเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สร้าง “มหาพีระมิดแห่งกีซา (Great Pyramid of Giza)” ซึ่งเป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในอียิปต์ และเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
เรือพิธีศพของฟาโรห์คูฟู ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เป็นเรือโบราณในสภาพสมบูรณ์เต็มลำ มีขนาดความยาว 43.6 เมตร กว้าง 5.9 เมตร ขุดค้นพบที่ข้างฐานมหาพีระมิดอียิปต์ของกีซาเมื่อ ค.ศ. 1954 สันนิษฐานว่าสร้างโดยฟาโรห์คูฟู กษัตริย์องค์ที่ 2 ของราชวงศ์ที่ 4 แห่งอาณาจักรเก่า (Old Kingdom of Egypt) เป็นเรือบรรทุกสมบัติต่างๆ สำหรับผู้วายชนม์เพื่อนำไปใช้ในโลกหลังความตายตามความเชื่อของอียิปต์โบราณ เรือลำนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานไม้ระดับมาสเตอร์พีซทำจากไม้สนซีดาร์และปัจจุบันยังสามารถล่องในทะเลสาบและแม่น้ำใหญ่ได้จริง

วิถีชีวิต “สังคมอียิปต์โบราณ”
นอกจากสมบัติของฟาโรห์และเรื่องราวของทวยเทพต่างๆ แล้ว พิพิธภัณฑ์ Grand Egyptian Museum ยังจัดแสดงเรื่องราวของชนชั้นต่างๆ ในสังคมอียิปต์โบราณ เช่น รูปปั้นของ Mitri นักบวชและผู้ว่าการแห่ง Maat ในท่านั่งเขียนหนังสือ เป็นงานสลักไม้ เป็นรูปปั้นลงสี และใช้เทคนิคการใส่ลูกแก้วจากแร่ควอตซ์ในดวงตาของรูปปั้น ที่แสดงถึงผลงานประติมากรรมชั้นเยี่ยมในยุคอาณาจักรเก่าของอียิปต์โบราณราว 5,000 ปีก่อน และยังเล่าเบื้องหลังสังคมอียิปต์ที่เชื่อในเรื่องความสำคัญของการศึกษา ทำให้ชนชั้นที่เป็นนักบวชมีการศึกษาได้รับอภิสิทธิ์และได้รับการยกย่องให้เกียรติจากทุกชนชั้น

หรืออย่างวัฒนธรรมการแสดงความรักและให้คุณค่าเรื่องความรักในรูปปั้นคู่ของ Meryre ผู้เป็นสามีและ Iniuy ภรรยาของเขา มือของฝ่ายภรรยาโอบไหล่สามี เป็นศิลปะจากยุคราชวงศ์ที่ 18 (ยุคของฟาโรห์ตุตันคามุน) แสดงออกถึงความอ่อนโยน ความรักและชื่นชมต่อกัน เป็นต้น

(ภาพ : Heneghan Peng Architects)
“พิพิธภัณฑ์สีเขียว” Carbon Neutral Museum
Grand Egyptian Museum จัดเต็มทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ไอยคุปต์และแนวคิดยั่งยืน ตั้งเป้าเป็น Carbon Neutral Museum และเป็นต้นแบบพิพิธภัณฑ์สีเขียว (Green Museum) เริ่มจากตัวอาคารสีเขียวที่ได้รับมาตรฐานการรับรอง EDGE Advanced Green Building Certification สามารถประหยัดต้นทุนพลังงานได้กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับอาคารขนาดใหญ่ทั่วไป ติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ของทะเลทรายเป็นพลังงานไฟฟ้า ทั้งยังมีเทคโนโลยีหลังคาที่ช่วยลดความร้อนจากทะเลทรายโดยเฉพาะ และที่น่าสนใจคือการออกแบบหลังคาที่เปิดให้แสงธรรมชาติเป็นแหล่งให้ความสว่างแก่พื้นที่ต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ การบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ตามหลักการลดคาร์บอน เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและกลมกลืนกับบรรยากาศของทะเลทรายโดยรอบรวมทั้งมีการเพิ่มพื้นที่สวนสีเขียวรอบพิพิธภัณฑ์อีกด้วย

(ภาพ : GEM)
Fact File
- Grand Egyptian Museum มีโซนเรียนรู้สำหรับเด็กโดยเฉพาะ พร้อมบริการห้องสมุดเกี่ยวกับไอยคุปต์โบราณ โรงภาพยนตร์ หอประชุมอเนกประสงค์ หอแสดงดนตรี ร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหารทั้งแบบสะดวกซื้อและภัตตาคารไฟน์ไดนิง
 - พิพิธภัณฑ์ Grand Egyptian Museum อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการท่องเที่ยวและโบราณคดี (Ministry of Tourism and Antiquities) แห่งสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ (The Arab Republic of Egypt)