รู้จัก “คนโขน” พลังคนเจนใหม่เบื้องหลังการสืบสานโขน มรดกประจำชาติไทยที่ตกทอดจากกรุงศรีอยุธยา
- โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เริ่มต้นการแสดงครั้งแรกใน พ.ศ. 2550 ในตอน พรหมาศ ก่อให้เกิดกระแสความนิยมโขนในกลุ่มผู้ชมคนรุ่นใหม่ และส่งต่อแรงบันดาลใจถึงนักแสดงโขนรุ่นใหม่
- การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ชวนท่องเที่ยวบนเส้นทาง “รอยยิ้มของแผ่นดิน” (Smile of the Land : Great Smile Grand Moment) ออกเดินทางตามพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และหนึ่งในนั้นคือแรงบันดาลใจเรื่องโขน
“เราอาจเคยได้ยินคำคาดการณ์ว่า โขน จะหมดไป คนรุ่นใหม่ๆ จะดูโขนน้อยลง แต่เมื่อมีโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ เวทีนี้ทำให้โขนไปไกลกว่าที่ทุกคนคิด เป็นเวทีที่เด็กโขนทุกคนใฝ่ฝันพร้อมเร่งพัฒนาตัวเองเพื่อแข่งขันกับเด็กโขนทั่วประเทศ ให้ได้มายืนบนเวทีแห่งนี้ให้ได้ และสำหรับผู้ชมเองเวทีนี้จะทำให้คุณจะหลงรักโขนและนาฏศิลป์ไทยแบบไม่ทันรู้ตัว”

การเกิดขึ้นของ โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หรือ “โขนพระราชทาน” ทำให้โขนไทยกลับมาอยู่ในความนิยมอีกครั้ง ภาพของโขนถูกปรับให้มีความร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นคนไทย ต่างชาติ ผู้ใหญ่ หรือเด็ก เมื่อได้รับชมก็สนุกและอินไปกับนาฏศิลป์ชั้นสูงที่ตกทอดมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยาจนกลายเป็นมรดกโลกที่เรียกว่า “โขน” ได้ และนอกจากการขยายฐานผู้ชมสู่เจนใหม่แล้ว โขนของไทยกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยพลังคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงเบื้องหน้า ไปจนถึงคนทำงานเบื้องหลัง รวมทั้งผู้ฝึกสอน Sarakadee Lite ขอพาไปรู้จัก “คนโขนรุ่นใหม่” ผู้อยู่เบื้องหลังการสืบสานโขน และช่วยกันผลักดันให้โขนไม่มีวันตาย แต่เป็นประสบการณ์ที่คนไทยควรได้รับชมสักครั้ง

ด.ช. ธรณิต เพิ่มสิน : นักแสดงโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ตอน “สัตยาพาลี”
โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจำปี 2568 ตอน สัตยาพาลี สร้างเสียงฮือฮาด้วยการเปิดตัวนักแสดงโขนที่อายุน้อยที่สุด น้องอันโน่-ด.ช. ธรณิต เพิ่มสิน นักแสดงวัย 5 ขวบ ในบทบาทความน่ารักของ “องคตกุมาร” ซึ่งนี่เป็นการแสดงโขนครั้งแรกของน้องอันโน่ และยังเป็นครั้งแรกที่น้องอันโน่ได้ร่วมแสดงบนเวทีเดียวกับคุณพ่อ “คณิต เพิ่มสิน” ผู้รับบทบาท “สุครีพ”
“ชอบองคตกุมารมากที่สุด เขามีพลังวิเศษ เขาเอาชนะศัตรูคนไหนก็ได้ เขามีพลังดึงปูยักษ์ที่ทศกัณฐ์แปลงกายขึ้นมาได้”
น้องอันโน่บอกถึงความประทับใจในบทบาทองคตกุมารอย่างตื่นเต้น ซึ่งความชอบในการแสดงโขนมาจากการที่น้องอันโน่เติบโตท่ามกลางครอบครัวนาฏศิลป์ โดยที่ฝั่งคุณแม่ “สสิธร เพิ่มสิน” ยังเป็นนักแสดงผู้รับบทเด่น “นางเบญจกาย” ในการแสดงโขนพระราชทานตอน “นางลอย” เมื่อปี พ.ศ. 2553 ซึ่งเธอกล่าวถึงความรู้สึกที่ทั้งครอบครัวได้ร่วมแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ว่า “รู้สึกภูมิใจมากที่มีโอกาสได้ถวายงานพระองค์ท่านทั้งครอบครัว”

ปัจจุบันน้องอันโน่เรียนชั้นอนุบาล โรงเรียนเปรมประชาวัฒนา แต่ด้วยการติดตามพ่อและแม่ซึ่งทำงานด้านนาฏศิลป์สังกัด สำนักงานสังคีต กรมศิลปากร มาตั้งแต่เล็ก ทำให้ลูกไม้ใต้ต้นเริ่มซึมซับความสนุกของวิชานาฏศิลป์ไทย โดยเฉพาะโขนที่อิงท้องเรื่องจากรามเกียรติ์ ซึ่งแม่ของน้องอันโน่เล่าว่าตัวน้องเองมองว่าโขนเหมือนนิทาน ไม่ต่างจากหนังซูเปอร์ฮีโร่ การได้ร่วมแสดงถือเป็นความสนุกที่น้องอันโน่ได้สวมบทเป็นคาแรกเตอร์ในนิทานเหล่านั้น

แม้จะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่อายุน้อยที่สุดในโรงโขน แต่น้องอันโน่ก็ต้องผ่านการเรียนพื้นฐานการออกท่ารำให้ถูกต้องเหมือนกับพี่ๆ นักแสดงคนอื่น รวมทั้งต้องฝึกความอดทนในการสวมชุดโขนและสวมหัวโขนตลอดการแสดง
“เด็กๆ อาจจะไม่มีความอดทนเท่ากับผู้ใหญ่ แต่ไม่ว่าน้องอันโน่จะงอแง ไม่พร้อมอย่างไร แต่เมื่อได้สวมชุด สวมหัวโขน เขาจะรักษาคาแรกเตอร์และอินไปกับการแสดงทุกครั้งโดยที่พ่อแม่ไม่ได้กดดัน ซึ่งการแสดงครั้งนี้ทำให้เราได้เห็นลูกเติบโตขึ้นอีกขั้น ปกติเขาจะได้เห็นภาพที่พ่อแม่ทำงานอยู่บนเวที แต่ครั้งนี้เขาได้สัมผัสจากประสบการณ์จริง”
สสิธรย้อนเล่าถึงอุปสรรคในการแสดงที่เป็นธรรมชาติของวัยอนุบาล ทว่าเมื่อได้สวมหัวโขนและขึ้นเวที เชื่อว่าผู้ชมจะลืมไปเลยว่าองคตน้อยองค์นี้อายุเพียง 5 ขวบเท่านั้น

อาจารย์ญาณวุฒิ ไตรสุวรรณ : คณะศิลปนาฏดุริยางค์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
จากเด็กน้อยที่เรียนรำโนราตั้งแต่ 4- 5 ขวบ สู่ความมุ่งมั่นในการเดินบนเส้นทางนาฏศิลป์ไทย ตัดสินใจย้ายไปอยู่ภาคใต้เพื่อ เข้าเรียนวิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช ฝึกซ้อมจนผ่านออดิชันเข้ามาเป็นนักแสดงโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ และจากบท เขนยักษ์ พลทหารยักษ์ที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนักก็กระโดดมารับบทสำคัญ วิรุญมุข และบทสำคัญเบื้องหน้าเวทีโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ รวมแล้ว 7 เรื่อง จนกลายเป็นศิลปินโขนดาวรุ่งที่น่าจับตา และสำหรับในปี 2568 นี้ อาจารย์ญาณวุฒิ ไตรสุวรรณ หรือ อาจารย์กาย ของกองทัพยักษ์และ ครูน้องกาย ของแฟนคลับโขน ก็ได้ร่วมเวทีโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ตอน สัตยาพาลี ในบทบาทใหม่ นั่นคือ ครูผู้คิดและฝึกสอนกองทัพยักษ์ผู้ร่วมออกแบบท่ารำยักษ์ซอมบีใน เพลงเสมอผี เพลงหน้าพาทย์ที่ถูกลืมเลือนให้กลับมาในฉากปลุกเหล่ายักษ์ที่ตายไปแล้วให้คืนชีพด้วยน้ำทิพย์ของนางมณโฑ

“ผมค่อนข้างโชคดีที่รู้ตัวแต่เด็กว่าเราชอบอะไร รักอะไร เราเลยวางแผนชีวิตไว้ชัดเจนว่าจะเดินไปทางไหน ตอนเด็กๆ ผมชอบไปดูลิเกกับคุณยาย ทางฝั่งคุณปู่ คุณย่าที่อยู่นครศรีธรรมราชก็มีเชื้อสายโนรา ผมเลยได้หัดโนราตั้งแต่เด็กๆ ผมโตที่กรุงเทพฯ แต่เมื่อชัดเจนแล้วว่าเราจะเดินทางสายนาฏศิลป์ก็ย้ายไปอยู่ใต้ตั้งแต่ ม.6 เพื่อสอบเข้าวิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช และเริ่มได้เรียนโขนตั้งแต่ตอนนั้น กายโชคดีที่อยู่ในครอบครัวที่เปิดกว้าง ก็เลยได้ทำตามฝันตัวเองตั้งแต่เด็ก เป้าหมายชัดเจนว่าอยากเป็นอาจารย์ นักแสดง ครูสอนศิลปะการแสดงของไทย ไม่ว่าจะเป็นโขน ละคร หรืออะไรก็ได้ที่เป็นนาฏศิลป์ไทย เราเลยตั้งเป้าว่าจะเดินสายนี้ให้ได้”
เมื่อมีเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าบันไดแห่งความฝันแรกของเด็กโขน คือ การออดิชันเป็นทีมนักแสดงโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ โขนพระราชทาน ซึ่งอาจารย์ญาณวุฒิบอกว่านับตั้งแต่ได้มาดูโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ เป็นครั้งแรกตอน พรหมาศ ก็บอกตัวเองเลยว่าจะต้องขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีให้ได้ ไม่ว่าจะได้เล่นบทบาทอะไรก็ตาม

“ตอนมาออดิชันครั้งแรกเราไม่ได้หวังสูงว่าต้องเป็นตัวเอก แค่อยากได้มาเรียนกับศิลปินระดับชั้นครู ได้มาเห็นศิลปินโขนไอดอลของเราที่เราเคยเฝ้ามองจากทีวี ยูทูป ได้ร่วมฝึกซ้อมกับพี่ๆ จากส่วนกลางที่ทุกคนเก่งมาก เราหวังแค่นั้นเลย ปีแรกได้รับคัดเลือกเป็นเขนยักษ์ตัวน้อยๆ พอจบการแสดงก็กลับไปฝึกหนักมากๆ และมาออดิชันอีกครั้งในปีถัดไปซึ่งตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ ม.6 ผลของความตั้งใจทำให้เราได้รับเลือกเป็นตัวเอก วิรุญมุข ซึ่งคาแรกเตอร์ความน่ารักของยักษ์กุมารก็ทำให้เราเริ่มเป็นที่รู้จักของผู้ชม เป็นที่รู้จักของพี่ๆ ในวงการโขน เป็นปีที่ดีใจมากและก็กลัวมากเช่นกัน เพราะเราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่อยู่ดีๆ ก็ก้าวกระโดดจากตำแหน่งที่ต่ำที่สุดในการแสดง มาเป็นตำแหน่งที่สำคัญเลย ส่วนในการแสดงโขนสัตยาพาลีครั้งนี้ก็เป็นอีกปีที่มีความรู้สึกทั้งดีใจและกลัว เพราะกระโดดจากนักแสดงมาเป็นครูผู้ฝึกซ้อมกองทัพยักษ์”

อาจารย์ญาณวุฒิเสริมเหตุผลที่กลัว เพราะการเข้ามาเป็นครูผู้ฝึกสอนนักแสดงกองทัพยักษ์ไม่ใช่แค่สอนกระบวนท่านำ แต่ขึ้นชื่อว่าโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ จะมีทั้งการคงความเป็นโขนดั้งเดิม ระเบียบจารีตประเพณีโขนโบราณที่ยังเก็บไว้ และก็ต้องเสริมเทคนิคใหม่ๆ ซึ่งในฐานะครูโขนรุ่นใหม่ก็เป็นหน้าที่ที่จะต้องเชื่อมระหว่างความเก่าใหม่ให้เป็นเนื้อเดียวกัน
“เราเป็นศิลปินโขนรุ่นใหม่ที่ต้องผสานสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ร่วมคิดค้นเรียบเรียงกระบวนท่าต่างๆ ทำอย่างไรให้สิ่งเก่าถูกนำเสนอในรูปแบบใหม่ให้ต่างกันทุกปี เพราะคนดูโขนมีคนรุ่นใหม่มากขึ้นทุกปีๆ เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่าโขนจะตายลงไป คนดูโขนจะน้อยลง แต่เวทีโขนพระราชทานทำให้โขนไทยไปไกลกว่าที่ทุกคนคิด ขนบโขนแบบดั้งเดิมถูกรักษาไว้ ในขณะที่เทคนิคใหม่ๆ ถูกเติมเข้ามา อีกทั้งทำให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจโขนมากขึ้น มีสถาบันสอน โขน สำหรับเยาวชนเปิดตามมามากมายโดยเฉพาะเอกชนและมีองค์ประกอบของโขนที่ถูกขยายต่อจากเวทีโขนพระราชทานอีกมาก สำหรับคนที่ยังไม่เคยเปิดใจให้กับโขน อยากให้ลองมาชมโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ สักครั้ง แล้วคุณจะหลงรักโขนแบบไม่ทันรู้ตัว”

นฤภร จันทร์คง : นักเรียนทุนพระราชทานฯ สาขาละครพระ
เวทีการแสดงโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ไม่ได้เป็นเพียงความฝันของเด็กนาฏศิลป์ไทยเพียงเท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือนประตูที่เปิดสู่โอกาสของความสำเร็จในอาชีพนาฏศิลป์ไทย และ กอหญ้า-นฤภร จันทร์คง คือหนึ่งในนักล่าฝันผู้ที่แม้จะพลาดโอกาสในการออดิชันนักแสดงโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ มาแล้ว แต่นั่นกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เธอฝึกซ้อมหนักขึ้น และกลับมาสมัครคัดเลือกอีกครั้งท่ามกลางนักเรียนนาฏศิลป์นับพันจากทั่วประเทศ และในที่สุดเธอก็ได้รับคัดเลือกเป็นนักแสดง ตัวพระ ในการรำเบิกโรงอศิรวาทสำหรับการแสดงโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ตอน “สัตยาพาลี” พ.ศ.2568
ย้อนกลับไปในวัยประถมฯ กอหญ้าเล่าว่าพี่สาวของเธอคือแรงบันดาลในการเรียนนาฏศิลป์ ทำให้เธอมุ่งมั่นเสริมทักษะการรำตั้งแต่มัธยมฯ จนได้เข้ามาเป็นนักศึกษาปี 1 คณะศิลปนาฏดุริยางค์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ รวมทั้งได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเรียนทุนพระราชทานมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ประจำปี 2568 สาขาละครพระ

“ตอนช่วงประถมฯ จำได้ว่าเห็นพี่สาวเรียนนาฏศิลป์ ท่าทางการรำสวยมาก รู้สึกชอบมากจนอยากเรียนเหมือนพี่ พอขึ้น ม. 1 จึงเข้าชมรมนาฏศิลป์ที่โรงเรียนและฝึกฝนมาเรื่อยๆ และรับงานแสดงนอกเวลาเรียนเพื่อหาประสบการณ์โดยมีคุณครูช่วยสอนและคิดท่ารำประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น แต่หลังจากเห็นความสำเร็จของรุ่นพี่ที่ได้ขึ้นแสดงโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ความฝันของเราก็ขยายใหญ่ขึ้น โขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ กลายเป็นความฝันสูงสุดที่เด็กนาฏศิลป์ทั่วประเทศอยากจะเข้ามาเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์” นฤภรกล่าวถึงเป้าหมายของการเรียนนาฏศิลป์ที่มีเวทีโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ เป็นเส้นชัย
ปัจจุบันนฤภรเลือกเรียนเอกตัวละครพระ ทำให้เธอคุ้นเคยกับท่ารำมาตรฐาน แต่เมื่อได้เข้ามาร่วมแสดงบนเวทีโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ เธอกลับพบว่าความแม่นยำในกระบวนท่ารำอย่างเดียวยังไม่พอ แต่เธอต้องมีวินัย ความอดทน และทีมเวิร์กในหมู่นักแสดง

“เราต้องรักษาความกลมกลืน ใช้ความว่องไว จดจำองศาการรำเพื่อความพร้อมเพรียงและสวยงาม ต้องจำตำแหน่งให้แม่นเพราะเป็นการรำหมู่ของตัวละครพระ ตัวละครนางทั้งหมด 10 คู่ เราต้องมีการพูดคุยสร้างทีมเวิร์ก สังเกตและช่วยเหลือกันและกัน” นฤภรกล่าวพร้อมเล่าต่อถึงเหตุผลว่าทำไมโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ จึงเป็นที่ความฝันสูงสุดของเด็กนาฏศิลป์เช่นเธอ
“รู้สึกภูมิใจมากที่ได้ขึ้นแสดงบนเวทีของแม่ แม้จะไม่มีโอกาสได้แสดงต่อหน้าพระองค์ท่านในปีนี้ แต่จะตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เสน่ห์ของการแสดงโขนคือความประณีต เป็นความสวยงามของวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ อยากสืบสานต่อไม่อยากให้สูญหายไป ปีหน้าจะพัฒนาตัวเองและกลับมาออดิชันอีกแน่นอน”

ณัฐนัย อินทมล : นักแสดงโขน โรงเรียนสายบุรี (แจ้งประชาคาร) จ.ปัตตานี
ดีโด้ – ณัฐนัย อินทมล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสายบุรี (แจ้งประชาคาร) จังหวัดปัตตานี เป็นเยาวชนอีกคนที่เดินทางไกลเพื่อมาร่วมออดิชันคัดเลือกเป็นนักแสดง โขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ตอน “สัตยาพาลี” ด้วยรูปร่างสูงใหญ่บวกกับทักษะด้านนาฏศิลป์ที่ฉายแวว ส่งผลให้ดีโด้ได้รับคัดเลือกเป็นตัวละคร เสนายักษ์ ถือเป็นการเปิดประสบการณ์บนเวทีการแสดงระดับประเทศครั้งแรกของเขา…เด็กนักเรียนจากจังหวัดชายแดนใต้ที่เกือบจะไม่มีโอกาสได้เรียนนาฏศิลป์เลยด้วยซ้ำ
“เดิมทีผมไม่ได้ตั้งใจจะเรียนนาฏศิลป์ ที่โรงเรียนไม่มีครูสอนนาฏศิลป์มานาน แต่หลังจากที่มีครูคนใหม่ย้ายมาบรรจุและเริ่มเปิดชมรมนาฏศิลป์ เป็นชมรมเล็กๆ มีเด็ก 5-6 คนเข้ามาเรียนรำ ผมเองก็แค่อยากลองอะไรใหม่ๆ ก็เลยลองเข้าชมรม แต่ตอนนี้กลายเป็นความชอบ และชมรมนาฏศิลป์ของโรงเรียนก็มีสมาชิกเพิ่มมาประมาณ 30-40 คนแล้ว บางครั้งครูก็ช่วยรับงานแสดงนาฏศิลป์ เป็นการรำแบบผสมผสานให้พวกเราหารายได้เสริมด้วย”

ณัฐนัยเลือกชมรมนาฏศิลป์แทนชมรมกีฬา จากแค่ทดลองเรียนสนุกๆ กลับกลายเป็นการค้นพบตัวเอง และต่อยอดสู่ความหลงใหลในศิลปวัฒนธรรมไทย พร้อมกับความฝันใหม่นั่นคืออยากเป็นครูสอนนาฏศิลป์ในบ้านเกิดจังหวัดปัตตานี เพราะที่นั่นยังขาดแคลนครูสอนนาฏศิลป์
“นี่เป็นการออดิชันครั้งแรกของผม ดีใจมากที่ได้รับคัดเลือก เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้เรียนรู้อะไรมากมาย การฝึกโขนมีข้อดีหลายอย่าง ทั้งฝึกระเบียบวินัย การมีรูปร่างและร่างกายที่แข็งแรงมีผลในการแสดงในบทต่างๆ นอกจากนี้ท่าทางการรำยังช่วยฝึกบุคคลิกภาพด้วย”

การฝึกฝนการแสดงโขนไม่ได้เพียงต้องทุ่มเทแรงใจและแรงกาย แต่ณัฐนัยต้องเพิ่มเรื่องความมีวินัยและความอดทนซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของโขน เขาใช้เวลาฝึกฝนอย่างหนักหนึ่งเดือนกว่าและเรียนรู้ว่าเมื่ออยู่บนเวทีอะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นสติ ไหวพริบ คืออาวุธที่เขาต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา และเมื่อแสดงเป็นหมู่คณะก็ต้องโฟกัสที่ความพร้อมเพรียงเพิ่มเข้ามา
“อยากขอบคุณการแสดงโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ที่นี่เป็นเวทีใหญ่ระดับประเทศที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้มาแสดง ทุกคนที่มาออดิชันเก่งกันหมด ผมจะกลับไปฝึกฝนให้มากขึ้น พัฒนาตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจแล้วปีหน้าผมจะกลับมาออดิชันอีก ส่วนครั้งนี้ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด อนาคตผมอยากเป็นครูนาฏศิลป์ในภาคใต้ สืบสานนาฏศิลป์ไทยให้รุ่นต่อๆ ไปเรื่อยๆ”

นภดล มูลนะเมฆ : ช่างผมโขนและนาฏศิลป์ไทย
บีม-นภดล มูลนะเมฆ คือ หนึ่งในฟันเฟืองเบื้องหลังวงการนาฏศิลป์ไทย เริ่มต้นจากเด็กผู้ชื่นชอบความงามของนาฏศิลป์ไทยโดยเฉพาะโขน แม้จะพลาดหวังในการสอบเข้าวิทยาลัยนาฏศิลป์ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น แต่การที่เขาได้มีโอกาสได้ชมโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ตอน พรหมาศ เมื่อ พ.ศ.2550 กลับจุดประกายความฝันในการเป็นนักแสดงโขนขึ้นมาอีกครั้งจนตัดสินใจเข้าร่วมชมรมโขน พร้อมมุ่งมั่นฝึกฝนอบรมวิชาโขนในที่ต่างๆ เช่น ชมรมโขนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และท้ายสุดเขาเลือกเรียนต่อมัธยมศึกษาตอนปลายที่วิทยาลัยนาฏศิลป์สุพรรณบุรี โดยมีเป้าหมายจะก้าวไปเป็นนักแสดงโขน “ตัวพระ” ให้ได้
ใน พ.ศ. 2562 ระหว่างที่เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 บีมตัดสินใจไปออดิชันโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ตอน สืบมรรคา แม้จะไม่ได้รับการคัดเลือกแต่บีมก็ยังไม่หยุดความฝัน เขาสอบเข้าเรียนระดับปริญญาตรี วิทยาลัยนาฏศิลป์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เพื่อพัฒนาทักษะแบบรอบด้านทั้งในการแสดง การแต่งหน้าทำผม และการแต่งกาย ในที่สุดปี 2567 เขาได้ผ่านการคัดเลือกให้แสดงบทบาท “เสนาระบำ” ในระบำท้ายเรื่องของการแสดงโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ตอน จักราวตาร พ.ศ.2567 รวมทั้งได้ใช้ความสามารถในด้านการแต่งหน้าทำผมเป็นผู้ช่วยทีมงานเบื้องหลังในวันที่ไม่ได้มีการแสดงด้วย

สำหรับในปี 2568 บีมได้ทำหน้าที่ช่างทำผมผู้อยู่เบื้องหลังความงามของนักแสดงโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ตอน สัตยาพาลี และเมื่อได้มีโอกาสมาเป็นส่วนหนึ่งของความวิจิตรในโขนพระราชทาน เขาจึงได้เรียนรู้ว่างานทุกส่วนที่ประกอบเป็นโขนหนึ่งฉากล้วนมีความละเอียด นักแสดงต้องฝึกกันเป็นปี แม้แต่การทำผมก็ต้องฝึกฝนเพื่อให้ได้สัดส่วนองศาในแบบที่บีมเรียกได้ว่าเป๊ะที่สุดเท่าที่เคยเป็นช่างทำผมนาฏศิลป์ไทยมา
“โขนคือความเป็นไทยที่สร้างขึ้นได้ยากมาก แต่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงรื้อฟื้นกลับมา แค่ได้เป็นคนเบื้องหลัง เป็นช่างทำผม ก็ทำให้ได้พัฒนาวิชาชีพของเราไปด้วย บีมได้ดูโขนพระราชทานครั้งแรกตอนอยู่ ม.1 และตื่นตะลึงกับความสวยงามอลังการ ความฝันที่แน่วแน่ตั้งแต่เด็ก คือ อยากเล่นโขน หรือถ้าไม่ได้เล่นก็ขอเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงก็ได้”

มนูญญา เกศวพิทักษ์ : นิสิตชั้นปีที่ 1 คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“โขนพระราชทานเป็นเวทีใหญ่มาก เป็นความฝันของเด็กนาฏศิลป์ เป็นเวทีที่ทำให้เราได้ต่อยอดความรู้ทั้งท่ารำ เครื่องแต่งกายโบราณ ได้รู้ว่านาฏศิลป์ไทยชั้นสูงเป็นอย่างไร ทำให้รู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ทำอยู่ และทำให้เราอยากเป็นศิลปินสืบสานนาฏศิลป์ไทย”
เกน-มนูญญา เกศวพิทักษ์ นิสิตชั้นปีที่ 1 คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกนาฏศิลป์ไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คืออีกหนึ่งพลังของคนเจนใหม่ที่ตั้งใจอยากจะสืบสานนาฏศิลป์ไทยโดยเฉพาะนาฏศิลป์ชั้นสูงอย่างโขน โดยจุดเล็กๆ ที่จุดประกายความฝันมาจากละครเทิดพระเกียรติเรื่อง “ลูกโขน” ซึ่งออกฉายทางโทรทัศน์ใน พ.ศ. 2553 หนูน้อยเกน วัย 3 ขวบที่ได้ดูเรื่องนี้ก็เริ่มออกท่าร่ายรำเลียนแบบในละครอย่างสนุกสนาน และได้รับการส่งเสริมจากครอบครัวต่อยอดสู่การเรียนนาฏศิลป์ไทย เป็นกิจกรรมเสริมมาตั้งแต่วัยประถมฯ ผ่านการฝึกเชิดหุ่นละครเล็กโจหลุยส์ รวมทั้งการแสดงนาฏศิลป์ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับรามเกียรติ์เรื่อยมา

จนกระทั่งได้ผ่านการคัดเลือกจากผู้เข้าร่วมแข่งขันกว่า 300 คน มาเป็นส่วนหนึ่งของ นางรำ ในการแสดงชุด รำเบิกโรงถวายพระพร ซึ่งเป็นการแสดงเปิดม่านก่อนเริ่มการแสดง โขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ประจำปี พ.ศ. 2567 ตอน จักราวตาร ซึ่งเวทีนี้ถือเป็นที่สุดของ “คนโขน” และคนนาฏศิลป์ไทย โดยเฉพาะเกนซึ่งเรียนสายสามัญไม่ได้ผ่านการศึกษาในวิทยาลัยนาฏศิลป์โดยตรง ประสบการณ์ครั้งนี้จึงเป็นที่สุดของความภาคภูมิใจ เพราะในตอนนั้นเธอเป็นนักเรียนสายสามัญเพียงคนเดียวที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมการแสดงรำในชุดนั้นด้วย และนอกจากประสบการณ์ในการร่วมแสดงโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ แล้ว เกนยังรับบทบาท “ตัวนาง” ในการแสดงโขนรามเกียรติ์ ตอน นางลอย ตามงานศิลปวัฒนธรรมที่ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวต่างๆ จัดขึ้น และการแสดงชุดโขนนางลอยก็ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเกนตั้งความหวังว่าเมื่อเรียนนจบเธอจะได้ทำงานเป็นศิลปินอาชีพของกรมศิลปากรต่อไป
“เวทีโขนพระราชทานทำให้หนูได้ความรู้มากขึ้น ทั้งเรื่องท่ารำ การแสดงออกสีหน้า และได้สวมชุดการแต่งกาย แบบผ้ายกผ้านุ่งที่เป็นผ้าทอสวยมากของมูลนิธิศิลปาชีพฯ ซึ่งแตกต่างจากชุดนางรำที่ใส่ทั่วๆ ไป อนาคตหนูอยากมีอาชีพเป็นศิลปิน ในกรมศิลปากร และอยากเปิดโรงเรียนสอนนาฏศิลป์ด้วย”

จิรสิน-ตินนา ลาภอนันต์รุ่ง : สองพี่น้องผู้หลงใหลในวิชาโขน
ผลจากการรื้อฟื้นการแสดง โขน ตามขนบโบราณที่ตกทอดจากกรุงศรีอยุธยามาเป็น โขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ไม่ใช่เพียงรับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ชมเท่านั้น แต่โขนประจำปีเวทีนี้ยังจุดประกายให้เด็กไทยรุ่นใหม่หันมาสนใจนาฏศิลป์เก่าแก่ของไทยมากขึ้น เช่นเดียวกับสองพี่น้องวัยมัธยมฯ ปลาย ภูมิ-จิรสิน ลาภอนันต์รุ่ง และ พราวด์ -ตินนา ลาภอนันต์รุ่ง นักเรียนชั้นมัธยมปลาย โรงเรียนราชวินิตบางแคปานขำ กรุงเทพฯ ซึ่งทั้งคู่ต่างหลงใหลในวิชาโขน โดย นอกเหนือจากการศึกษาวิชาการทั้งคู่ยังได้ฝึกฝนการแสดงโขนในสถาบันต่างๆ ที่เปิดสอน อย่างภูมิได้เข้าร่วมอบรมในโครงการ “ยุวศิษย์ศิลป์ รุ่น 2” ของอนันตนายะ ซึ่งได้ร่วมกับมูลนิธิสุทธิรัตน์ อยู่วิทยา จนได้ประสบการณ์ที่ดีมาบอกต่อว่า
“การเรียนโขน ไม่ใช่แค่การเรียนหรือการแสดง แต่ยังเป็นความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งของร่างกายและอารมณ์ของเรา รวมทั้งคนที่ร่วมแสดงกับเราด้วย”

ส่วนพราวด์นั้นสนใจ โขน ตามพี่ชาย โดยเริ่มต้นความอยากรู้ว่าการเป็น นาฏศิลป์ชั้นสูง ของไทยที่เรียกว่า “โขน” คืออะไร จนกระทั่งติดใจเสน่ห์ของศิลปะการแสดง พราวด์เล่าว่าเธอชอบท่าทางการร่ายรำที่มีลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละตัวละคร ที่ต่างจากนาฏศิลป์ไทยพื้นฐานโดยสิ้นเชิง เช่น ตัวยักษ์มีการร่ายรำให้ดูตัวใหญ่ องอาจ เข้มแข็ง น่าเกรงขาม ต่างจากตัวลิงที่เน้นการร่ายรำให้ดูคล่องแคล่วและสนุกสนาน ส่วนตัวพระและตัวนางยังคงคอนเซปต์เดิมของนาฏศิลป์ คือ รำให้ดูอ่อนช้อย สวยงาม

นอกจากท่าทางการร่ายรำเฉพาะของโขนแล้ว พราวด์ยังชอบเรื่องเล่า ตำนานในแต่ละตอนของโขนจนเธอเองอยากจะแสดงฉากสำคัญๆ ให้ครบ และเรียนรู้ลงลึกไปที่เนื้อหาของฉากฉากนั้น โดยงานแสดงชิ้นล่าสุดของพราวด์ คือ โขนสัมฤทธิ์ผลทางการศึกษา (การแสดงจบการอบรมโขน) เรื่องรามเกียรติ์ ตอน “พรหมาศ” ณ วัดทางหลวง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งอยู่ในโครงการโขนเยาวชน จัดโดย ศูนย์การเรียนรู้ทางวัฒนธรรมวัดทางหลวง กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ปัจจุบันภูมิและพราวด์ได้รับการติดต่อจากชุมชนชาวไทยในสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส เพื่อร่วมการแสดงนาฏศิลป์ไทยในเทศกาลวัฒนธรรมไทยในต่างแดน ซึ่งเป็นงานที่ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติอย่างมาก

“ผมรู้สึกขอบคุณที่พระองค์ท่าน (สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง) ที่ทรงรื้อฟื้นและทำให้เด็กรุ่นผมรู้จักโขน ตอนผมฝึกหัดแรกๆ ก็สนุกดี แต่พอได้แสดงต่อหน้าคนดู ตอนเล่นบท ‘มโหทร’ ในการแสดงโขนที่อยุธยา ตอนแสดงต้องรับลอยจากหนุมาน คนดูปรบมือเสียงดังมาก และตอนการแสดงจบมีเด็กตัวเล็กๆ วิ่งมาขอถ่ายรูป และขอให้สอนท่าทางโขนให้ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจกับตัวเองมากๆ และอยากแสดงต่อไปเรื่อยๆ ให้คนได้เห็นว่าโขนเป็นศิลปะที่จับต้องได้ มีคุณค่าเอกลักษณ์เฉพาะของไทย”
ภูมิกล่าวถึงความภูมิใจที่ได้แสดงโขน โดยทั้งสองย้ำว่าแม้ทั้งคู่จะเป็นแค่เด็กโขนฝึกหัด แต่ก็จะขอทำหน้าที่นักเรียน นักแสดงที่ดี ทำหน้าที่สืบสานและเผยแพร่ให้โขนอยู่คู่กับประเทศไทยไปนานๆ

ธัชชัย อนุมาศ : ช่างแต่งหน้าโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ตอน “สัตยาพาลี”
เมื่อการร่วมอนุรักษ์ โขน ไม่ใช่เพียงการเข้าชม ผู้ที่ทำงานเบื้องหลังความวิจิตรของนักแสดงโขนก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน และสำหรับเวทีโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ประจำปี 2568 ตอน “สัตยาพาลี” ได้เปิดโอกาสให้ช่างแต่งหน้ารุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการสืบสานการแต่งหน้าโขนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ แตกต่างจากการแต่งหน้านาฏศิลป์ไทยทั่วไป
“พอได้มาชมโขนพระราชทานก็ทำให้เรารู้ว่านี่เป็นการแต่งหน้าอีกรูปแบบหนึ่งที่ต่างจากนาฏศิลป์ทั่วไป การแต่งหน้าโขนพระราชทานมาจากพระราชดำริของ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงอยากให้คนชาติอื่นๆ ได้รู้ว่านี่คือการแต่งหน้าโขนไทย ทรงส่งเสริมให้มีการแต่งหน้าโขนขึ้นใหม่ให้สวยขึ้น โดยให้ ครูขวด-มนตรี วัดละเอียด ซึ่งเป็นอาจารย์แต่งหน้าโขนเข้ามาร่วมออกแบบการแต่งหน้าโขน ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เราได้โอกาสเข้ามาทำ ก็อยากจะขอบคุณครูมนตรีที่ให้โอกาสนี้”

มอส-ธัชชัย อนุมาศ ช่างแต่งหน้าโขนมูลนิธิศูนย์ศิลปาชีพฯ ตอน “สัตยาพาลี” ให้รายละเอียดถึงการแต่งหน้าตัวละครต่างๆ ในโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “โขนพระราชทาน” ซึ่งแตกต่างจากการแต่งหน้านาฏศิลป์ไทยทั่วไป เพราะเป็นการค้นคว้าจากจิตรกรรมโบราณผนวกกับศิลปะการแต่งหน้าสมัยใหม่จนเกิด “การแต่งหน้าสำหรับโขน” โดยเฉพาะ เพื่อขับความเป็นไทยให้ออกมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งให้เหมาะกับการแสดงที่ใช้แสงไฟเวที
“การแต่งหน้าโขนมี 3 ระยะ ไกลมาก ใกล้ ระยะประชิด ไม่ว่าผู้ชมจะมองระยะไหนก็สวย อีกความยากการแต่งหน้าโขน คือไม่ใช่แค่การปรับโครงสร้างใบหน้า แต่ต้องแต่งให้งามเหมือนอุดมคติของไทย เพราะทั้งหมดอิงจากจิตรกรรมฝาผนัง ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าตัวละคร การวาดคิ้ว เขียนตา โครงของเส้น เรียกว่าดึงความเป็นจิตรกรรมไทยมาอยู่บนหน้าของมนุษย์”

มอสเล่าถึงความยากในการแต่งหน้าโขน ซึ่งแม้ตัวมอสเองจะมีพื้นฐานการแต่งหน้านาฏศิลป์มาตั้งแต่สมัยเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์ ทว่าเมื่อต้องมาแต่งหน้าโขนบนเวทีที่เป็นที่สุดของประเทศเช่นนี้ ก็ต้องมีการฝึกอบรมและกลับไปฝึกซ้อมเองเพื่อที่วันแสดงจริงจะไม่มีข้อผิดพลาด
“การแต่งหน้าให้เหมือนจิตรกรรมยาก เพราะไม่เหมือนการวาดลงบนหุ่น แต่ละคนมีปัญหาที่จะต้องแก้แตกต่างกัน เหมือนเราลบหน้าเดิมและสร้างตัวละครนั้นๆ ขึ้นมาใหม่ และที่สำคัญที่สุดของช่างแต่งหน้าคือวินัย การทำงานแข่งกับเวลา ช้าไปนิดเดียวก็สามารถส่งผลกระทบกับฝ่ายต่างๆ ทั้งทำผม แต่งตัว รวมทั้งกระทบต่อนักแสดงได้”
แม้มอสจะเป็น “คนโขน” ที่อยู่เบื้องหลัง แต่ความจริงแล้วสายเลือดโขนถูกส่งต่อมา ตั้งแต่รุ่นคุณเทียดที่เป็นนักแสดงโขน ส่วนมอสเองก็ตามคุณยาย คุณทวดไปดูโขนตั้งแต่เด็กๆ และแม้ปลายทางจะไม่ได้เป็นนักแสดงโขน ทว่ามอสบอกว่าการได้มาทำงานเบื้องหลังคือความภาคภูมิใจอย่างที่สุด
“เราเองเคยหาคำตอบว่าชีวิตเราอยากทำอะไรกันแน่ สุดท้าย โขน ก็พาผมกลับมา อาจจะไม่ได้เป็นเบื้องหน้า แต่พอได้เข้ามาเบื้องหลังก็รู้สึกอิ่มใจ เหมือนโขนไม่ได้ขาดไปจากชีวิตเราเลย การร่วมอนุรักษ์สืบสานโขนจึงไม่ใช่แค่การเข้ามาเรียนโขนโดยตรง การได้มีส่วนร่วมรับชมก็ถือเป็นการอนุรักษ์อีกทางหนึ่ง คุณอาจจะไม่ต้องแสดง แต่การได้มาร่วมรู้จักบทละคร ตัวละคร ร่วมกันก็ถือเป็นการร่วมอนุรักษ์โขนแล้ว”

Fact File
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ชวนท่องเที่ยวบนเส้นทาง “รอยยิ้มของแผ่นดิน” (Smile of the Land : Great Smile Grand Moment) ชวนออกเดินทางเที่ยวไทยตามพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ธรรมชาติ และชุมชน เพื่อถ่ายทอดพระเมตตา พระปรีชาญาณ และแรงบันดาลใจจากพระองค์สู่ประชาชนทั้งไทยและชาวต่างชาติ สามารถติดตามเส้นทางท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ Facebook, เว็บไซต์, TikTok และ Instagram ของ Amazing Thailand, 1672 Travel Buddy, ข่าวสารท่องเที่ยว ททท. และ อนุสาร อ.ส.ท. หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1672 Travel Buddy