ป้ายยาหนังสือน่าอ่าน ในงาน Hybrid Book Fair 2564
Lite

ป้ายยาหนังสือน่าอ่าน ในงาน Hybrid Book Fair 2564

Focus
  • เข้าสู่ช่วงเดือนตุลาคม เหล่านักอ่านต่างรู้กันว่าเรามีนัดกับงานมหกรรมหนังสือระดับชาติซึ่งปี 2564 นี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 26 ในธีม “Hybrid Book Fair อ่านออก เถียงได้” ผสมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ในร้านหน้งสือ
  • Hybrid Book Fair 2564 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-31 ตุลาคม 2564

งานหนังสือประจำปี Hybrid Book Fair 2564 เริ่มต้นขึ้นแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีลิสต์รายการเรียงยาวเป็นหางว่าว แต่สำหรับใครที่ยังไม่มี เรามีหนังสือแวะมาป้ายยา ทั้งเล่มใหม่ล่าและเล่มไม่ล่าแต่น่ามีไว้ในครอบครอง ว่าแล้วก็ตามไปส่องกันได้เลย

Hacking Life ชีวิตที่ใช่ไม่ต้องใช้ทางลัด

เรื่อง : โจเซฟ เอ็ม. รีเกิล จูเนียร์ (Joseph M. Reagle Jr.)

แปล : วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ

สำนักพิมพ์: Be(ing)

“เวลามีน้อย โปรดใช้สอยอย่างประหยัด” อาจเป็นสโลแกนของชาวบีซี่เอสต์ (ออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่า Business ที่แปลว่า นักธุรกิจ แต่จริง ๆ คือคำว่า Busiest ที่แปลว่า ยุ่งสุด ๆ) ทุกช่วงเวลาในแต่ละวันล้วนแล้วแต่อัดแน่นด้วยกิจกรรมที่ต้องทำเพื่อให้ชีวิตพัฒนาขึ้น ก้าวไปได้ไกลขึ้น และยังต้องทำแบบรีบเร่งด้วยเพราะเดี๋ยวจะตามไม่ทันโลก ไม่ทันคนรอบข้าง และจะถูกทิ้งให้เคว้งคว้างไว้ข้างหลังเพียงลำพัง

และด้วยภาวะที่ถูกบีบคั้นเหล่านี้นี่เองที่ทำให้เราต่างพากันเสาะหาวิธีลัดเพื่อให้ชีวิตไปสู่จุดหมายได้เร็วขึ้น เพื่อให้ชีวิตสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เทคนิคไลฟ์แฮ็กต่าง ๆ หรือทริกการใช้ชีวิตจึงออกมาช่วยย่นย่อให้เราใช้เวลาชีวิตในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้ลดน้อยลง

ทว่าหนังสือเล่มนี้นำเสนอมุมมองที่แตกต่างออกไป โดยเล่าเรื่องราวตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่มาของคำว่า “แฮ็กกิง” ที่เมื่อเดินทางมาถึงปัจจุบันนี้ก็มาไกลจากจุดเริ่มมาค่อนข้างไกลและต่างไปจากเดิม ทว่ายังคงคอนเซ็ปต์ของการ “แก้ไขระบบเชิงเทคนิคอย่างชาญฉลาดและสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับทุก ๆ ด้านในชีวิต” แน่นอนว่าในเล่มไม่ได้รวบรวมทริกทางลัดการใช้ชีวิต และไม่ได้อวยว่า Hacking Life is the best แต่นำเสนอด้านสว่างและด้านอมเทาของการแฮ็กชีวิต จุดแข็งและจุดอ่อน เพื่อที่คุณจะสามารถชั่งตวงและพิจารณาได้เองว่า วิธีการแบบไหนที่เหมาะสำหรับคุณและนำพาชีวิตของคุณไปถึงเป้าหมายนั้น ซึ่งปลายทางคำตอบที่คุณได้ อาจเป็นคำตอบเดียวกับชื่อหนังสือว่าการมี “ชีวิตที่ใช่ ไม่จำเป็นต้องใช้ทางลัด” ก็เป็นได้

สนธยาประชาธิปไตย (Twilight of Democrazy)

เรื่อง : แอนน์ แอพเพิลบอม (Anne Applebaum)

แปล : พชร สูงเด่น

สำนักพิมพ์ : Sophia

หากมองผ่าน ๆ หนังสือปกสีน้ำเงินอมม่วงที่มีแถบแสงเรืองรองสว่างพาดกลางราวกับเกิดการระเบิดของกลุ่มดาวหรืออะไรสักอย่าง ณ ปลายขอบอวกาศ อาจทำให้คุณคิดว่านี่เป็นหนังสือนวนิยายไซ-ไฟ หรือนิยายแฟนตาซีสักเล่ม แต่เมื่อสายตาจับโฟกัสอย่างชัดเจน “Demecracy” ที่จัดวางอย่างโดดเด่น ก็ส่งสารอย่างชัดเจนว่า นี่คือหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของ “ประชาธิปไตย”

การจะหาหนังสือการเมืองการปกครองอ่านง่าย ๆ สักเล่มเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก และคุณก็ไม่อาจเข้าใจแนวคิดและหลักการของประชาธิปไตยได้อย่างถ่องแท้จากการอ่านหนังสือเพียงหนึ่งเล่ม แต่หากหนังสือเล่มนั้นพาคุณเดินทางไปทัศนาการเมืองรอบโลก ผ่านเหตุการณ์การล่มสลายของคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกกลาง สู่ยามเช้าที่เปี่ยมความหวังแห่งประชาธิปไตย และกลับสู่วันที่เผด็จการได้ครองเมืองอีกครั้งจากการสนับสนุนโดยคนรักประชาธิปไตยในอดีต ก็อาจทำให้คุณเห็นภาพและเข้าใจธรรมชาติของประชาธิปไตยได้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น และทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือจุดเด่นของหนังสือเล่มนี้

ความน่าสนใจยังไม่หมดเพียงแค่นั้น และไม่ใช่เพียงเพราะหนังสือเล่มนี้เขียนโดยนักประวัติศาสตร์เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ และเป็นหนังสือเล่มโปรดประจำปี พ.ศ. 2563 ของ บารัก โอบามา แต่หนังสือเล่มนี้ยังได้นำเสนอความจริงโหด ๆ ในประเด็นการเมืองอันอ่อนไหว ตีแผ่เบื้องลึกอันยาวนานและซับซ้อนได้อย่างลื่นไหล ไม่หนักหน่วงจนน่าอึดอัด และยังช่วยให้เราค้นพบคำตอบ กับคำถามสุดแสนคาใจของใครหลาย ๆ คนว่า แค่เพียงความเห็นต่าง เราถึงกับต้องเลือกข้างกันเลยหรือ

ในโมงยามที่ผู้คนเรียกหาประชาธิปไตย หากไม่เข้าใจธรรมชาติและกลไกของมันแล้ว ท้ายที่สุดสิ่งที่เราปรารถนา อาจกลายเป็นสิ่งที่เราพยายามหลีกหนีมาตลอดก็เป็นได้ ณ ดินแดนที่ความมืดปกคลุมทุกหย่อมหญ้า… ประชาธิปไตยอาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งแสงสว่างหรืออาจเป็นแสงสุดท้ายที่กำลังจะกลืนหายไปในอนธการ

Leading Change การเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีวันล้มเหลว

เรื่อง : จอห์น พี. คอตเตอร์(John P. Kotter)

สำนักพิมพ์ : We Learn

“คู่มือสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ได้ผลที่สุด สำหรับคนที่ไม่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง”​

ผู้คนมักหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลง…เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ไม่รู้ว่าจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนั้นอย่างไร และแม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องสามัญของชีวิต ทว่า…​ เราก็ยังกลัวมันอยู่ดี

ด้วยความที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ใช้ชีวิตอยู่บนความเคยชิน อุ่นใจในพื้นที่เซฟโซน (Safe Zone) คอมฟอร์ตโซน (Comfort Zone) ระดับหนักหน่วง จนหลายครั้งก็พลาดโอกาสที่จะได้ลองสิ่งใหม่ ๆ หรือพลาดสิ่งดี ๆ ในชีวิต สุดท้ายก็ทำได้แค่กลับมานั่งเสียดมเสียดาย และต่อให้รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดีกับชีวิตสักเท่าไร แต่การจะก้าวขาออกไปเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง หรือลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังเป็นเรื่องที่น่าวิตกหวั่นใจไม่น้อยเสียด้วย

“…การเปลี่ยนแปลงจะส่งผลเสียในระดับหนึ่งอยู่แล้วครับ เมื่อไรก็ตามที่กลุ่มคนถูกบีบให้ปรับเปลี่ยนตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ย่อมต้องเกิดความเจ็บปวดตามมา นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เราสามารถหลีกเลี่ยงความสูญเปล่าและความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสที่เราพบเจอ…”

จอห์น พี. คอตเตอร์ ผู้เขียน และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงมือหนึ่งของโลก กล่าวไว้ในตอนต้นของหนังสือเล่มนี้ เพื่อบอกและย้ำให้คุณรู้ว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดเลย ถ้าหากคุณจะหวาดกลัวกับความเปลี่ยนแปลงทว่ามันมีวิธีการจัดการกับความเปลี่ยนแปลง และเขาได้รวบรวมวิธีดังกล่าว สกัดออกมาเป็น 8 ขั้นตอน ที่จะไกด์วิธีคิดของคุณให้ถูกต้อง เตรียมคุณให้พร้อมรับมือกับปัญหาใด ๆ ก็ตามที่จะเกิดขึ้นระหว่างทาง เพื่อรับประกันว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างราบรื่น ประสบผลสำเร็จ และคงอยู่อย่างยั่งยืน

Changemaker เสียงเล็ก ๆ ของเด็กเปลี่ยนโลก

เรื่อง : ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา

สำนักพิมพ์ : Nanmeebooks

ช่วงไม่กี่ปีมานี้เราอาจได้ยินคำว่า Changemaker กันบ่อยถี่มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่ทั่วโลกประสบกับวิกฤตกันทั่วถ้วน หลาย ๆ ประเทศก็เกิด Changemaker ขึ้นมากมาย ซึ่งในประเทศไทยเองก็ไม่แตกต่างกัน และหากจะนิยามความหมายของคำว่า Changemaker ให้เข้าใจกันง่าย ๆ ที่สุด ก็สามารถแปลตรงตัวเลยว่าคือ “ผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง”

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าในประเทศไทยก็มีเหล่าผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงมากมาย และแต่ละคน แต่ละประเด็นที่จุดประกายให้พวกเขาเหล่านั้นลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง เพื่อสร้างผลลัพธ์ใหม่ที่ต่างไปจากเดิม เป็นผลลัพธ์ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น ของกลุ่มคน ชุมชน และหลาย ๆ โปรเจกต์ก็ส่งผลถึงมวลชนในวงกว้าง

ปราชญา คือ Changemaker ตัวน้อยที่ต่อสู้เพื่อสิทธิ์ในการให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี สามารถเข้าพบจิตแพทย์ได้โดยไม่ต้องรับการยินยอมจากผู้ปกครอง ทำไมเธอต้องต่อสู้เพื่อเรื่องนี้ คำตอบไม่ใช่เพียงเพราะประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยโรคทางจิตเวชเพิ่มขึ้นทุกปี และในจำนวนผู้ป่วยนั้นก็พบผู้ป่วยที่อายุน้อยลงมากขึ้น ทว่าผู้ป่วยที่ยังเป็นเยาวชนนั้นจำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก่อนจึงจะสามารถเข้ารับการรักษาได้ แต่มีผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ยังเข้าใจโรคทางจิตเวชผิดเพี้ยนและคลาดเคลื่อนไปจนทำให้เด็กไม่ได้รับการรักษาและอาการย่ำแย่ลงจนเป็นภัยต่อสุขภาพตัวเองและสังคม             

หนังสือเล่มนี้คือเรื่องราวการต่อสู้ของปราชญา เด็กหญิงวัย 14 ปี ผู้ผลักดัน เรียกร้อง และดำเนินการขอแก้ พ.ร.บ. สุขภาพจิตให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าพบจิตแพทย์ได้โดยไม่ต้องรับการยินยอมจากผู้ปกครอง… เสียงเล็ก ๆ ของเด็กสาวผู้เปลี่ยนโลกอันหม่นเทาของผู้ป่วยจิตเวชเด็กให้พบแสงสว่างได้อีกครา

แล้วทุกสิ่งจะดีขึ้นราวกับมีเวทมนตร์             

เรื่องและภาพ : Jedit

แปล : ญาณิศา จงตั้งสัจธรรม

สำนักพิมพ์ : Mugunghwa Publisher

หนังสือปกสวยฟีลละมุนเล่มนี้ สะดุดตาตั้งแต่เพียงแวบแรกที่กวาดสายตาไปบนชั้นหนังสือ และเมื่อเอื้อมมือไปหยิบมาพิศมองใกล้ ๆ ก็เหมือนหัวใจได้รับการปลอบประโลม ราวกับได้รับการโอบกอดแผ่วเบา ซึ่งไม่ใช่แค่ภาพปกเท่านั้น แต่เนื้อหาในเล่มก็ฮีลหัวใจที่บอบช้ำและอ่อนล้าได้ราวกับต้องเวทมนตร์

ถ้อยความสั้น ๆ และภาพวาดละมุนใจมากมายเหล่านี้เป็นผลงานส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ภาพวาด 365 Days of daydream โดย Jeditนักเขียนชื่อดังในโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ชุมชนศิลปะ Grafolio ของเกาหลีใต้ ซึ่งหากคุณเป็นชาวทวิต น่าจะเคยคุ้นตากับภาพสไตล์นี้จากแอ็กเคานต์ @9jedit กันมาบ้าง หรือหากไม่เคยคุ้น จะตามเข้าไปส่องยลเพื่อฮีลแบบดิจิทัลกันก่อนก็ได้ และแม้ต้นทางจะเป็นภาษาเกาหลี (แน่ละ เพราะศิลปินเป็นชาวเกาหลีนี่นา)

แต่เมื่อศิลปะไม่มีกำแพงมากางกั้น คุณจึงสามารถเสพและสัมผัสทุกความอ่อนโยน อ่อนไหว อบอุ่น เหว่ว้า จากลายเส้นและแสงสี และขอบอกเลยว่า ยามเมื่อภาพดิจิทัลเหล่านั้นถูกนำเสนอในรูปแบบรูปเล่ม ปกแข็งเย็บกี่สามารถเปิดกางได้เต็มที่โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดหรือหลุดออกจากสัน เมื่อสัมผัสทางตาทำงานร่วมกับผัสสะอื่นของร่างกาย ความละมุนละไมยิ่งเพิ่มพูนราวกับเวทมนตร์ที่ถูกร่ายเคลือบคลุมหนังสือเล่มนี้ได้เริ่มต้นทำงาน และเรากำลังได้รับการฮีลลิงจากเวทมนตร์ที่ Jeditร่ายแฝงไว้ในทุกฝีแปรงและตัวอักษร “ภาพวาดที่เหมือนดั่งภาพฝันซึ่งพบเจอในยามค่ำคืน เพียงแค่ได้มองดู จิตใจก็พลันอบอุ่นขึ้น” ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นจริง ไม่ผิดแผกไปแม้สักถ้อยคำเดียว

Hybrid Book Fair 2564

Cryptocurrency 101 Plus (ฉบับปรับปรุง)

เรื่อง : พรศักดิ์ อุรัจฉัทชัยรัตน์

สำนักพิมพ์ : ฮาวทู อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง

“ไม่ว่าเราจะพร้อมหรือไม่ เศรษฐกิจแห่งความเร็วและคริปโตเคอร์เรนซีไม่ได้นำพา อนาคตกำลังจะมาถึง และมาในแบบจู่โจมถาโถม”

คำกล่าวนำของผู้เขียนนั้นไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใดเลย เพราะ ณ เวลานี้ คริปโตเคอร์เรนซีไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป มันโผล่เด้งขึ้นมาทักทายเรายามเช้าในหน้าฟีด คนรอบกายเริ่มพูดคุยและเปลี่ยนข้อมูล หลายแฟนเพจมีมุกมีมีมยามราคาเหรียญที่พุ่งทะยานสูงหรือดิ่งพสุธาชวนหน้ามืดเอาไว้หยอกล้อผู้ร่วมชะตา รู้ตัวอีกทีคริปโตฯ ก็ใกล้ชิดระยะเกาะไหล่คุณแล้วเพียงแต่คุณยังไม่ได้ทำความรู้จักกับมัน

แต่ถ้าสิ่งเหล่านั้นยังไม่ทำให้คุณรู้สึกว่าคริปโตเคอร์เรนซีจะมีบทบาทในโลกแห่งความจริงที่ใช้ชีวิตกันทุกวัน แม้จะรับรู้ว่าเจ้าเหรียญคริปโตฯ หลากสกุลสามารถใช้งานเพื่อซื้อ-ขายสินค้า บริการ ได้จริงในหลายประเทศ แต่ล่าสุดร้านค้าในประเทศไทยเองก็เริ่มมีบริการรับชำระด้วยเหรียญคริปโตฯ กันบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นเชื่อเถอะว่า คริปโตเคอร์เรนซีเป็นความรู้ทางการเงินอีกศาสตร์ที่คุณไม่ควรพลาดที่จะเรียนรู้ ไม่ว่าจะในแง่ของการลงทุนหรือคืออนาคตทางธุรกิจกับการเงิน

Cryptocurrency 101 Plus เล่มนี้เป็นฉบับปรับปรุงที่ทำการอัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยและครอบคลุมยิ่งขึ้น หลังจากที่เล่มออริจินัล Cryptocurrency 101 พิมพ์ออกมาเมื่อ พ.ศ. 2561 ถือเป็นเล่มพื้นฐานที่รวบรวมองค์ความรู้ด้านคริปโตเคอร์เรนซีและถ่ายทอดออกมาให้เสพได้ง่ายเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษา ในเล่มแบ่งออกเป็น 3 พาร์ตใหญ่ ๆ คือ ภาคทฤษฎี (ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี การทำงานของมัน และเหรียญต่าง ๆ ฯลฯ) ภาคปฏิบัติ (การซื้อ-ขายเหรียญ ส่องเหรียญน่าลงทุน วิธีขุดเหมือง ฯลฯ) และภาคเสริม

จริงแท้ที่ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง หลายคนจึงเลือกที่จะเลี่ยงเพื่อไม่ต้องประสบกับความเสี่ยงนั้น แต่การที่ไม่รู้ ไม่เปิดรับ และไม่ทำความรู้จักกับสิ่งที่กำลังจะมาก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายหากคุณจะเริ่มต้นเรียนรู้ตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าคุณจะนำมันไปใช้หรือต่อยอดกับสิ่งไหน ก็ย่อมจะช่วยลดอัตราเสี่ยงให้คุณเช่นกัน

Hybrid Book Fair 2564

The Art of Rest พักผ่อนศาสตร์​ :ศาสตร์แห่งการพักให้ได้พัก (อย่างแท้จริง)

เรื่อง : คลอเดีย แฮมมอนด์ (Claudia Hammond)

แปล : สาริศา กนกวรกิตติ์

สำนักพิมพ์ : Cactus Publishing

“ชีวิตช่วงนี้มันเหนื่อยเนอะ เฮ้อ…” พูดจบก็ถอนหายใจยาว

เชื่อว่าช่วงนี้ใครหลาย ๆ คนคงพ้อคำนี้ออกมาบ่อยดีไม่ดีอาจกลายเป็นคำติดปากใครหลาย ๆ คนไปแล้วด้วย อาจเพราะด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ค่อยจะปกติเท่าไร โรคระบาดที่ทำท่าเหมือนพร้อมจะกลับมาโจมตีเราทุกเมื่อ ทำเอาเราต้องตั้งการ์ดสูงตลอดเวลา ไหนจะเรื่องส่วนตัวในชีวิต ทั้งเรื่องงาน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่สตางค์ในกระเป๋า สารพัดสิ่งอย่างต่างพร้อมใจกันดาหน้ารุมเข้าหาเหมือนคลื่นโถมเข้าหาฝั่งหนักหนาขนาดที่ว่าทำให้การคิดจะหยุดพักกลายเป็นกิจกรรมที่ทำให้เรารู้สึกผิดไปได้ (เพราะจะมีเสียงพร่ำบ่นว่า เอาเวลาไปจัดการสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังมะรุมมะตุ้มเสียสิ จะมานอนหายใจทิ้งไปเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรแบบนี้ไม่ได้นะ)

ถ้าคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้Feel Guilty เช่นนี้ขอให้คุณพักก่อน…(หมายถึงพักความคิดที่ว่ากำลังรู้สึกผิด สลัดสะบัดมันทิ้งไปไกล ๆ ก่อน) และขอให้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านแทน

“…โสกราตีสเตือนให้เราระวังความแห้งแล้งจากชีวิตที่ยุ่งเหยิง ถ้าเรายุ่งตลอดเวลา ชีวิตจะขาดจังหวะและทำนองที่มีความสำคัญ เราจะพลาดความแตกต่างระหว่างชีวิตที่ทำและไม่ทำอะไรเลย…”

เพียงแค่ถ้อยความตอนหนึ่งของช่วงเปิดเล่มก็ทำเอาเราจุกอกได้แล้ว เพราะเชื่อขนมกินได้เลยว่า หลังจากอ่านประโยคที่ว่านี้จบ แล้วนั่งทบทวนชีวิตตัวเองกัน เราอาจมีคำถามกับตัวเองว่า “ทำไมถึงได้ทำให้ชีวิตยุ่งขนาดนี้นะ”​ (บ้างอาจยุ่งแบบ Busy บ้างอาจยุ่งแบบMessy หรือถ้าใครท็อปฟอร์มยุ่งแบบควบสอง อันนี้ก็เหนื่อยกันน่าดู)

ก่อนอื่นเลยคือ พักผ่อนศาสตร์ จะพาคุณทำความเข้าใจศาสตร์แห่งการพักผ่อนว่ามันคืออะไร เพื่อที่ว่าเมื่อคุณเข้าใจแล้ว คุณจะวางความรู้สึกผิดต่อตัวเองและคนอื่นลงได้ก่อน ซึ่งนั่นจะถือว่าเป็นขั้นแรกของการพักผ่อนที่แท้จริงที่กำลังจะได้เริ่มต้นขึ้น

จากนั้นจะพาคุณเข้าสู่กิจกรรมต่าง ๆ ที่สร้างความผ่อนคลายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกิจกรรมที่เราต่างคุ้นชินกันดีอยู่แล้วเริ่มจากสเต็ปง่าย ๆ อย่างการ “ดูโทรทัศน์” “ปล่อยใจให้ล่องลอย” “แช่น้ำอุ่นในอ่าง” ไต่ระดับไปเรื่อย ๆ ถึงการ “ไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ” และไปจบขั้นสุดที่การ “อ่าน” ซึ่งสาระไม่ใช่แค่บอกวิธี แต่ลงลึกกว่านั้น ซึ่งเมื่อได้อ่านและลองทำตาม รับรองเลยว่าความรู้สึกของการได้พักผ่อนของคุณจะเปลี่ยนไปจากเดิม

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่คุณควรรู้และจำให้ขึ้นใจมีอยู่ว่า“การพักผ่อนกับการนอนนั้น เป็นคนละอย่างกัน และขออย่าได้รู้สึกผิดหรือละเลยกับการพักผ่อนเลย เพราะการพักผ่อนที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่เพียงพอจะส่งผลต่อชีวิตของคุณอย่างมหาศาล ทั้งสุขภาพกายและใจ”

Hybrid Book Fair 2564

Money 101: เริ่มต้นนับหนึ่งสู่ชีวิตการเงินอุดมสุข

เรื่อง : จักรพงษ์ เมษพันธุ์

สำนักพิมพ์ : ซีเอ็ดยูเคชั่น

เวลานี้น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักโค้ชหนุ่ม-จักรพงษ์ เมษพันธุ์ แห่ง The Money Coach ผู้ออกตัวเสมอว่าไม่ใช่กูรู แต่มีความรู้ทางการเงินที่พร้อมจะนำมาแบ่งปันสู่ชาวเรา เพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพทางการเงินที่ไม่คล่องและหนักหน่วง

ความจริงแล้วต้นตอของปัญหาด้านการเงินที่คนส่วนใหญ่ต่างประสบพบเจอ เป็นเพราะเราไม่มีความรู้ทางการเงินที่มากพอ รากฐานความรู้ด้านการเงินของเราอ่อนยวบ ที่สำคัญ ในหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนยันมหาวิทยาลัยก็ยังไม่มีหลักสูตรที่ว่านี้ด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่ปัญหาทางการเงินโดยเฉพาะปัญหาหนี้สิน (ทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้บัตรเครดิต และอีกสารพัดหนี้) จึงเป็นปัญหาที่แก้กันไม่จบไม่สิ้นเสียที

เล่มนี้ผู้เขียนไม่ได้สอนวิธีแก้หนี้ แต่เป็นเล่มที่สอนให้เรารู้จักและเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานของเรื่องการเงิน ซึ่งประกอบด้วย 4 ทักษะสำคัญคือ การหารายได้ การจัดการค่าใช้จ่าย การมีเหลือออม และการลงทุนต่อยอด รวมไปถึงการตั้งเป้าหมาย การทำงบการเงินส่วนบุคคล ฯลฯ ไปจนถึงการวางแผนการเงินในอนาคต

อ่าน ๆ ดูอาจจะเบสิก ดูง่าย แต่เพราะคิดว่าง่าย ๆ นี่แหละที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนละเลยและไม่ให้ความสำคัญ ดังนั้นเล่มนี้จึงเหมาะมากสำหรับบีกินเนอร์ และคนที่ไม่รู้จะเริ่มต้นความรู้ด้านการเงินจากเล่มไหนดี เมื่อรากฐานเราแน่น เราก็จะบริหารจัดการการเงินของเราได้ดีขึ้น เป็นก้าวที่หนึ่งที่คุณจะเดินไปสู่ชีวิตการเงินอุดมสุขได้อย่างมั่นคง และหลุดพ้นจากวังวนวงจรแห่งปัญหาทางการเงิน

Hybrid Book Fair 2564

The Power of Out Put ศิลปะของการปล่อยของ

เรื่อง : ชิออน คาบาซาวะ

แปล : อาคิรา รัตนาภิรัต

สำนักพิมพ์ : SandClock Books

ในยุคที่ข้อมูลคือหัวใจสำคัญของการทำงานแลเลยไปถึงการใช้ชีวิตบรรดาข่าวสารและข้อมูลที่ไหลบ่าเหมือนน้ำป่า ทั้งรวดเร็วและรุนแรง แถมยังหลากช่องทางนั้น เราในฐานะที่เป็นผู้รับสารเพื่อเก็บมาใส่คลังข้อมูลเพื่อการประมวลผล แน่นอนว่าก็ต้องมีมึนกันบ้าง เพราะจำนวนข้อมูลที่เยอะจัด หลากหมวดหลายประเภท ซ้ำร้ายบางข้อมูลที่รับ ๆ เข้ามาก่อนโดยที่ยังไม่มีเวลาพิจารณาไตร่ตรอง กลับกลายเป็นข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ปะปนจนทำให้สับสนยิ่งกว่าเดิม

สำหรับคนที่กำลังมองหาหนังสือแนว “พัฒนาตนเอง” ศิลปะของการปล่อยของ เล่มนี้เป็นอีกเล่มหนึ่งที่คุณไม่ควรพลาด ความน่าสนใจของเล่มนี้คือการสะกิดให้เราได้ฉุกคิดว่า “การเติมข้อมูลเข้าไป(Input) ในปริมาณมากนั้น ไม่สำคัญเท่าการประมวลผล หรือปล่อยมันออกมา (Output)”​หรือถ้าจะพูดให้เห็นภาพกันชัดเจนขึ้นก็คล้าย ๆ กับว่า “การที่เราจะเป็นคนที่ดีขึ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรารับข้อคิด แนวคิดดี ๆ เข้าไปมาก ๆ แต่เป็นการที่เราได้รับข้อมูลเหล่านั้นแล้ว เรามีการประมวลผล ตกผลึก กลั่นมันออกมา และเอาไปใช้ได้เมื่อนั้นเราจึงเป็นคนที่ดีขึ้น”นั่นเอง

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่ความจริงคือไม่ได้ยากอย่างที่คิดหลักการสำคัญมีเพียง 3 ข้อ“พูด – เขียน -ทำ” เสริมด้วยการเติม Inputเข้าไป จนกลายเป็นวงจรแห่งการเรียนรู้และพัฒนาตนเองที่สมบูรณ์

HAVE A GOOD DIE  วันนี้คือวันตายของเจ้า!

เรื่อง: PPONG

สำนักพิมพ์: SALMON

ความตายกำลังจะถูกบอกเล่าให้กลายเป็นความธรรมดาปกติของชีวิตผ่านการ์ตูนแก๊กขำขัน 4 ช่องจบว่าด้วย “ความตาย” ที่อาจจะอยู่รอบตัวและอยู่เหนือจินตนาการ เรียกว่าเป็นการ์ตูนแก๊กที่ใส่ทั้งความระทึกและหฤหรรษ์ของความตายที่อยู่รอบตัวของ พี่โป้ง หรือ PPONG คาแรกเตอร์การ์ตูนที่เขายังไม่รู้ว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงเมื่อไหร่ และมาแบบไหนก็ไม่รู้ อาจตายเพราะโดนสัตว์เขมือบ ตายไปพร้อมๆ กับเพื่อนรักตายเพราะสิ่งลี้ลับพิศวง งานรัดตัวตาย ภูเขาไฟระเบิด เจ้าพ่อยากูซ่าสั่งฆ่า ยักษ์จับโยนลงหม้อชาบูหรือมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไปทดลองก็ได้

HAVE A GOOD DIE  วันนี้คือวันตายของเจ้า!วาดโดยเจ้าของเพจเฟซบุ๊ก PPONG 4KOMA Everyday ผู้ได้แรงบันดาลใจจากการสูญเสียและอยากบอกเล่าความธรรมดาแห่งชีวิตให้ผู้อ่านได้รู้เท่าทันความตายที่ไม่เคยเคาะประตูบอกกันล่วงหน้า

หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย

เรื่อง: ยาสึชิ คิตากะวะ

แปล: หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว

สำนักพิมพ์: Piccolo

บางครั้งหนังสือสักเล่ม หรือใครสักคนก็ทำให้เราเลิกหลงทางได้…

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นกลางฤดูร้อนในร้านหนังสือเล็กๆ ที่วางขายเฉพาะหนังสือที่เจ้าของร้านชอบ วันนั้น “โยสุเกะ” กำลังเฝ้าร้านแทนคุณพ่อ และความบังเอิญทำให้เขาได้พบกับเด็กสาว “ฮารุกะ” ที่กำลังตามหาหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ ความสวยของเธอสะกดใจและกำลังจะทำให้ชีวิตของโยสุเกะเปลี่ยนไปตลอดกาล พร้อมกับความลับในหนังสือเล่มที่ฮารุกะกำลังตามหา เป็นหนังสือที่โยสุเกะรู้สึกว่ามันถูกเขียนขึ้นมาเพื่อเขา

เรามักตั้งคำถามถึงอนาคตตั้งแต่วัยเยาว์ว่า “โตขึ้นมาอยากเป็นอะไร หรืออยากทำอะไร” บางทีเราก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอยากทำอะไรกันแน่ แรงกดดันมักมาจากครอบครัวและคนรอบข้างที่คอยเตือนอยู่เสมอว่า ต้องคิดให้ได้ตั้งแต่ตอนนี้ว่าอยากทำอะไร ไม่เช่นนั้นชีวิตจะไม่ประสบความสำเร็จ เด็กๆ ในช่วงวัยรุ่นอย่างโยสุเกะและฮารุกะก็เช่นกัน ความกล้าหาญในการเดินตามความฝันอย่างสุดทางอาจมาจากเธอและหนังสือที่กำลังตามหาอยู่ก็ได้

ความจำที่สาบสูญ The Memory Police

เรื่อง: Yoko Ogawa

แปล: อาภาพร วิมลสาระวงค์

สำนักพิมพ์: Chaichai Books

นวนิยายดิสโทเปียของ Yoko Ogawa นักเขียนญี่ปุ่นที่ฝากผลงาน Revenge ให้นักอ่านชาวไทยได้รู้จักมาก่อนหน้า และสำหรับ ความจำที่สาบสูญ กับปกที่ออกแบบมาแสนเลืองลางนี้มีจุดเกิดเหตุบนเกาะไร้ชื่อที่ผู้คนเผชิญกับการหลงลืมจนกลายเป็นเรื่องปกติ ที่นั่นการสาบสูญของสิ่งสามัญ รวมทั้งสิ่งสวยงาม และสิ่งที่เคยประทับภาพสำคัญในชีวิตล้วนหายไปจากความทรงจำโดยแทบไม่มีใครตั้งคำถาม

“การลบความจำที่ไม่จำเป็นให้หายไปอย่างรวดเร็วเป็นงานที่สำคัญที่สุดของพวกเรา ถ้ายังมีความจำที่ไร้ประโยชน์ก็ไม่ใช่เรื่องปกตินะ จริงไหม”

สำหรับ ความจำที่สาบสูญ ฉบับภาษาญี่ปุ่นตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1994 ต่อมาได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษเมื่อ ค.ศ. 2019 ในชื่อ The Memory Police และได้เข้ารอบสุดท้ายรางวัล International Booker Prize ประจำปี 2020

Fact File

  • เลือกซื้อหนังสือจากหลากหลายสำนักพิมพ์พร้อมติดตามกิจกรรมต่างๆ ได้ตลอดงาน Hybrid Book Fair 2564 ที่ www.thaibookfair.com

Author

ศรัณย์ พิพัฒน์
หญิง (เริ่มจะไม่) สาวผู้ขลุกตัวอยู่กับวงการน้ำหมึกและตัวอักษรตั้งแต่ออกจากรั้วมหาวิทยาลัย รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมา 13 ปีแล้ว