ประวัติ 8 สุดยอดเครื่องเพชรแห่งราชสำนักฝรั่งเศส ย้อนรอย โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
Lite

ประวัติ 8 สุดยอดเครื่องเพชรแห่งราชสำนักฝรั่งเศส ย้อนรอย โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์

Focus
  • เครื่องเพชรประจำราชสำนักฝรั่งเศสที่เลอค่าและไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ได้ถูกโจรกรรมไปเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2025
  • สมบัติล้ำค่าที่ถูกโจรกรรมไปมีจำนวน 8ชิ้น จาก 3 คอลเลกชันสำคัญ คือ คอลเลกชันของจักรพรรดินีเออเฌนี คอลเลกชันของพระราชินีมารี-อาเมลี กับ พระราชินีออร์ต็องซ์ และคอลเลกชันของจักรพรรดินีมารี หลุยส์ ที่จัดแสดงในแกลเลอรีอะโปลง
  • การโจรกรรมครั้งล่าสุดนี้เป็นครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์นับตั้งแต่ครั้งแรกที่โด่งดังไปทั่วโลกกับการโจรกรรมภาพวาดโมนาลิซา เมื่อ ค.ศ. 1911

สุดยอดเครื่องเพชรประจำราชสำนักฝรั่งเศสที่เลอค่าและไม่สามารถประเมินมูลค่าได้เป็นที่กล่าวถึงหลังเหตุ โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ใจกลางกรุงปารีส โดยสรุปแล้วมีเครื่องเพชรจำนวน 8 ชิ้น จาก 3 คอลเลกชันสำคัญหายไปจาก พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ได้แก่ คอลเลกชันของจักรพรรดินีเออเฌนี (L’impératrice Eugénie)  คอลเลกชันของพระราชินีมารี-อาเมลี (La reine Marie-Amélie) กับพระราชินีออร์ต็องซ์ (La reine Hortense) และคอลเลกชันของจักรพรรดินีมารี หลุยส์ (L’impératrice Marie-Louise) เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2025 ถือเป็นการโจรกรรมครั้งใหญ่และอุกอาจและนับเป็นครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ที่สมบัติล้ำค่าได้ถูกโจรกรรมไปนับตั้งแต่ครั้งแรกที่โด่งดังไปทั่วโลกกับการโจรกรรมภาพวาด โมนาลิซา (Mona Lisa) ของ เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) เมื่อ ค.ศ. 1911

ภายใน แกลเลอรี อะโปลง (Gallérie Apollon)  
โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์

ผู้ก่อเหตุ โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ใช้เวลาเพียงแค่ 7 นาที ในการโจรกรรมสมบัติล้ำค่าจากพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกและขึ้นชื่อเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดที่สุด  เหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลา 09.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงปารีส (14.00 น. เวลาประเทศไทย) โดยมีชายจำนวน  4 คนได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 2คน  

ภายใน แกลเลอรี อะโปลง (Gallérie Apollon)  

กลุ่มแรกเดินทางมาที่ พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ด้วยมอเตอร์ไซค์คนละคัน  ส่วนกลุ่มที่  2 ใช้รถบรรทุกขนาดเล็กบรรทุกกระเช้าสำหรับช่วยในการขนย้ายสิ่งของในอาคารสูง และเมื่อมาถึงได้ติดตั้งบันไดกระเช้าตรงบริเวณด้านทิศตะวันออกของฝั่งแม่น้ำแซน บริเวณชั้น 1 ปีก เดอนง (Denon) ทำทีเป็นเหมือนคนงานมาซ่อมแซมตัวอาคาร  จากนั้นใช้แผ่นตัดกระจกเข้าไปใน แกลเลอรี อะโปลง (Gallérie Apollon)  เมื่อเข้าไปด้านในก็ได้ทุบตู้กระจกที่จัดแสดงเครื่องเพชรประจำราชสำนักฝรั่งเศสจำนวน 2 ตู้ กวาดเอาสิ่งของล้ำค่าไปอย่างง่ายดายและหลบหนีไปได้ Sarakadee Lite ชวนไปย้อนรอยเหตุ โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ กับประวัติของเครื่องเพชรทั้ง 8 ชิ้นที่หายไป

โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
มงกุฎเพชรประดับมุขที่ถูกโจรกรรม (ภาพ : Musée du Louvre)

มงกุฎและเข็มกลัดเพชรในคอลเลกชันของจักรพรรดินีเออเฌนี

เครื่องเพชรในคอลเลกชันของจักรพรรดินีเออเฌนี (ค.ศ. 1826-1920) ที่ถูกโจรกรรมไปประกอบด้วย มงกุฎเพชรและเข็มกลัดเพชร ที่ไม่อาจประเมินมูลค่าได้ทั้งในด้านราคาและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเครื่องประดับสุดวิจิตรของฝรั่งเศสในยุคศตวรรษที่ 19

โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
ด้านหลังของมงกุฎเพชรประดับมุขที่ถูกโจรกรรม (ภาพ : Musée du Louvre)

มงกุฎเพชร ที่หายไปในเหตุ โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เป็นองค์ที่จักรพรรดินีเออเฌนีในจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 (Napoléon III : ค.ศ. 1808-1873) โปรดให้ทำขึ้นเพื่อเป็นของขวัญสำหรับการอภิเษกสมรสของทั้งสองพระองค์ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1853  มงกุฎประกอบด้วยก้านเล็กๆ 7 ก้านและก้านใหญ่อีก 3 ก้านเรียงซ้อนกัน ตกแต่งด้านบนด้วยไข่มุกเม็ดใหญ่ทรงลูกแพร์ที่มีจำนวน 17 เม็ด  ประดับด้วยลวดลายใบไม้ประดับเพชร  ตัวมงกุฎใช้ไข่มุกขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไปรวมทั้งหมด 212 เม็ด และประดับด้วยเพชรทั้งหมดจำนวน 1,998 เม็ด

โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
เข็ดกลัดรูปโบที่ถูกโจรกรรม (ภาพ : Musée du Louvre)

อีกชิ้นสำคัญคือ เข็ดกลัดรูปโบ ขนาดใหญ่ ที่มีพู่ห้อยยาวลงมาและจักรพรรดินีเออเฌนีทรงใช้เป็นตัวล็อกยึดสายรัดเสื้อคอร์เซต ประดับด้วยเพชรของราชสำนักฝรั่งเศสจำนวน 2,438 เม็ด ซึ่งเป็นผลงานของ ฟร็องซัวร์ คราเมอร์ (François Kramer) ที่ทำขึ้นมาใน ค.ศ. 1855 และนำมาจัดแสดงในงานนิทรรศการโลกในปีเดียวกัน  ภายหลังจักรพรรดินีทรงนำมาเป็นเครื่องประดับของพระองค์ และใน ค.ศ. 2008 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ได้ซื้อมาในราคา 6.72 ล้านยูโร

โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
เข็มกลัดเพชรบรรจุสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกโจรกรรม
(ภาพ : Musée du Louvre)

นอกจากนี้ยังมี เข็มกลัดเพชร ซึ่งด้านในตกแต่งด้วยลายกุหลาบ บริเวณศูนย์กลางของวงกลมทำเป็นเพชรเม็ดใหญ่เม็ดเดียว และรอบๆ ตรงขอบประดับด้วยเพชรอีก 7 เม็ด  ทางพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เรียกเข็มกลัดชนิดนี้ว่า “เข็มกลัดที่บรรจุสิ่งศักดิ์สิทธิ์” เนื่องด้วยตัวกล่องที่ใส่เข็มกลัดนี้จะมีช่องเล็กๆ เพื่อใส่ของบางอย่างได้  และด้วยเหตุที่จักรพรรดินีเออเฌนีทรงเป็นคริสต์ศาสนิกชนที่เคร่งครัดมาก จึงมีการสันนิษฐานว่า น่าจะมีการเก็บสัญลักษณ์หรือสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาคริสต์ไว้รวมกับตัวเข็มกลัดด้วย

โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
เครื่องเพชรในคอลเลกชันของพระราชินีมารี อาเมลี และพระราชินีออร์ต็องซ์
(ภาพ : Musée du Louvre)

เครื่องเพชรในคอลเลกชันของพระราชินีมารี อาเมลี และพระราชินีออร์ต็องซ์

อีกหนึ่งตู้กระจกที่จัดแสดงเครื่องเพชรล้ำค่าของราชสำนักฝรั่งเศสและโดนโจรกรรมไปคือคอลเลกชันของพระราชินีมารี อาเมลี (ค.ศ. 1782-1866) และพระราชินีออร์ต็องซ์ (ค.ศ. 1783-1837)  และหนึ่งในชิ้นเลอค่าที่ถูกโจรกรรมคือ มงกุฎไพลิน ซึ่งเป็นมงกุฎที่มี 5 ช่อ โดยบนยอดของแต่ละช่อประดับด้วยไพลินศรีลังกาเม็ดใหญ่ทรงลูกแพร์รวมทั้งสิ้นถึง 24 เม็ด และประดับด้วยเพชรอีก 1,083 เม็ด

โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
มงกุฎไพลินที่ถูกโจรกรรม (ภาพ : Musée du Louvre)

มงกุฎองค์นี้ถูกสวมใส่โดยหญิงสูงศักดิ์ในราชสำนักฝรั่งเศสสองพระองค์ คือ พระราชินีออร์ต็องซ์ซึ่งเป็นธิดาของจักรพรรดินีโจเซฟีน (Joséphine : ค.ศ. 1763-1814) ในจักรพรรดินโปเลียน ที่ 1 (Napoléon 1er : ค.ศ. 1769-1821) และพระราชินีมารี อาเมลี ในกษัตริย์หลุยส์ ฟีลิป ที่ 1 (Louise-Philippe 1er : ค.ศ. 1773-1850) ซึ่งต่อมากลายเป็นมรดกของตระกูลดยุกแห่งออร์เลอ็อง (Duc d’ Orléans) จนถึง ค.ศ. 1985 จึงได้กลายมาเป็นมรดกแห่งชาติของฝรั่งเศส

แม้ว่ามงกุฎองค์นี้จะถูกสวมใส่โดยบุคคลสำคัญๆ ของฝรั่งเศส แต่ที่มายังคงเป็นปริศนาอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้  ทางพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ระบุไว้ว่า หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับมงกุฎองค์นี้ที่พอจะสืบค้นได้คือ จดหมายการติดต่อซื้อขายระหว่างดยุกแห่งออร์เลอ็องกับควีนออร์ต็องซ์ ที่น่าจะแสดงถึงการได้รับมรดกมาจากพระมารดาของพระองค์  อย่างไรก็ตามข้อนี้ยังเป็นแค่สมมุติฐานเท่านั้น  บางกระแสยังบอกอีกว่าน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากพระนางมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette : ค.ศ. 1755-1793) ที่เป็นบรรพบุรุษของพระราชินีมารี อาเมลี เลยก็เป็นได้

สร้อยคอไพลินศรีลังกาที่ถูกโจรกรรม
ภาพ : Musée du Louvre)

อีกหนึ่งสมบัติล้ำค่าที่ถูกโจรกรรมไปคือ สร้อยคอไพลินศรีลังกา ประกอบด้วยไพลิน 8 เม็ดในขนาดต่างกันๆ และเพชรจำนวน 631 เม็ด  แต่ละข้อของสร้อยคอทั้งหมดถูกออกแบบมาให้เชื่อมกันอย่างประณีต สะท้อนให้เห็นถึงเทคนิคที่ยอดเยี่ยมของช่างฝีมือที่รังสรรค์  ส่วนประวัติและความเป็นมาของสร้อยเส้นนี้เหมือนกับมงกุฎข้างต้นที่ยังคงเป็นปริศนา เพราะมาจากคอลเลกชันเดียวกัน

ต่างหูไพลินที่ถูกโจรกรรม (ภาพ : Musée du Louvre)

นอกจากนี้ยังมี ต่างหูไพลิน รูปกระดุมหนึ่งคู่ มีจี้ที่ทำจากไพลินบรีโอเล็ตต์ (Briollette) ตกแต่งด้วยเพชรบริลเลยนจำนวน 59 เม็ด

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
สร้อยและต่างหูมรกตประดับเพชรในคอลเลกชันของจักรพรรดินีมารี หลุยส์ ที่ถูกโจรกรรม
(ภาพ : Musée du Louvre)

เครื่องเพชรในคอลเลกชันของจักรพรรดินีมารี หลุยส์

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
สร้อยมรกตที่ถูกโจรกรรม (ภาพ : Musée du Louvre)

ในคอลเลกชันที่ถูกโจรกรรมไปยังประกอบด้วย สร้อยมรกต ประดับด้วยมรกตเม็ดงามจำนวน 32 เม็ดและใช้เพชรมาเป็นลวดลายประดับประดาจำนวนถึง 1,138 เม็ด  สร้อยเส้นนี้เป็นส่วนหนึ่งในคอลเลกชันเครื่องประดับที่จักรพรรดินโปเลียน ที่1 ได้พระราชทานแก่จักรพรรดินีมารี หลุยส์ (ค.ศ. 1791-1847) ที่เป็นพระมเหสีองค์ที่ 2 เพื่อเป็นของขวัญแต่งงานและได้รับมอบเมื่อปลายปี ค.ศ. 1810 โดยในเซตเดียวกันจะมีสร้อยคอ ต่างหู และหวี ด้วย

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
ต่างหูมรกตที่ถูกโจรกรรม (ภาพ : Musée du Louvre)

ชิ้นสุดท้ายในรายการของที่โดนโจรกรรมคือ ต่างหูมรกต หนึ่งคู่ ที่ประดับด้วยมรกตทรงลูกแพร์สองเม็ด และมรกตเล็กอีก 4 เม็ด ประดับลวดลายเพชรอีก 108 เม็ด เป็นผลงานของบริษัทเอเตียน นิโตท์ เอ ฟิส ภายใต้การควบคุมและบริหารของ ฟร็องซัว เรโญ นีโต ( François-Régnault Nitot : ค.ศ. 1779-1853) ซึ่งต่างหูคู่นี้ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ต่อมาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในคอลเลกชันของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เมื่อ ค.ศ. 2004

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
ภาพโมนาลิซา โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ค.ศ. 1911

ย้อนรอยการโจรกรรมศิลปะล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์

เหตุ โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ครั้งล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2025 นับเป็น โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ คร้ังที่ 4 ที่เกิดขึ้นกับพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกแห่งนี้ การ โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ครั้งแรกและโด่งดังไปทั่วโลกเกิดขึ้นในวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1911  เมื่อ วินเชนโซ เปรูจา (Vincenzo Péruggia) ช่างกระจกชาวอิตาลีได้ปลดภาพวาด โมนาลิซา ของ เลโอนาร์โด ดา วินชี ออกไปจากห้องจัดแสดงเพื่อนำกลับคืนไปไว้ที่ประเทศอิตาลี เพราะเขาคิดว่ากษัตริย์ฝรั่งเศสโจรกรรมภาพนี้มาจากอิตาลี เขาจึงมีความต้องการที่จะนำโมนาลิซากลับคืนสู่มาตุภูมิ  แต่อีก 3 ปีต่อมาพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์สามารถตามโมนาลิซากลับคืนมาได้ และนับแต่นั้นเป็นต้นมาภาพโมนาลิซาไม่เคยได้เคลื่อนย้ายออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ไปจัดแสดงที่ไหนอีกเลย อีกทั้งมีการจัดบริเวณและการป้องกันอย่างแน่นหนาดังที่เห็นในปัจจุบัน

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
ภาพโมนาลิซากลับสู่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ใน ค.ศ. 1914

โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1983 เมื่อเครื่องประกอบการแต่งกายของทหารในพิธีสวนสนามในวันชาติอิตาลี ประกอบด้วย หมวกและเสื้อเกราะ ที่ทำด้วยเงินและทองคำในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ บารอน ซาโลมง แห่งตระกูลโครธชิลด์ (Salomon de Rothschild) ได้มอบให้แก่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ใน ค.ศ. 1922 ถูกโจรกรรมไปโดยไม่สามารถระบุตัวผู้ก่อเหตุได้รวมถึงไม่รู้ว่าหายไปได้อย่างไร  จนกระทั่ง ค.ศ. 2021 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณคนหนึ่งว่า ในระหว่างที่เขากำลังทำการตรวจสอบบัญชีมรดกของตระกูลหนึ่งในเมืองบอร์โด (Bordeaux) ได้พบรายการต้องสงสัยที่น่าจะเป็นหมวกและเสื้อเกราะที่หายไปจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เมื่อ 38 ปีก่อน จึงทำให้สามารถติดตามเอากลับคืนมาเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ได้ในที่สุด

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
ภาพ Le chemin de Sèvres ของ กามิลล์ โกโครต์  ที่ถูกโจรกรรม
(ภาพ : Musée du Louvre)

โจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ครั้งที่ 3 เป็นการโจรกรรมภาพเขียนของ กามิลล์ โกโครต์  (Camille Corot : ค.ศ. 1796-1875) ศิลปินแนวอิมเพรสชันนิสม์ที่ชื่อว่า เลอ เชอแม็ง เดอ แซฟร์ (Le chemin de Sèvres) โดยได้หายไปจากห้องจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในตอนบ่ายของวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 ในขณะที่ยังเปิดให้ผู้คนเข้าชมอยู่  ภาพดังกล่าวหายไปอย่างไร้ร่องรอยจนกระทั่งปัจจุบันนี้

อ้างอิง


Author

ดรุณี คำสุข
จับพลัดจับผลูได้มาอยู่ในย่านของชาวปารีเซียงพลัดถิ่นมามากกว่าสิบปีจนชื่นชอบในสีสันและความหลากหลายของวัฒนธรรมที่แตกต่าง