แรงบันดาลใจจาก “โขนพระราชทาน” สู่ 10 เส้นทางท่องเที่ยวไทย คนรักโขนต้องไปเช็กอินให้ได้สักครั้ง
Lite

แรงบันดาลใจจาก “โขนพระราชทาน” สู่ 10 เส้นทางท่องเที่ยวไทย คนรักโขนต้องไปเช็กอินให้ได้สักครั้ง

Focus
  • การกลับมาของ โขนพระราชทาน ตามขนบมหรสพโบราณที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ได้เป็นเพียงการอนุรักษ์นาฏศิลป์ชั้นสูงไม่ให้สูญหายเท่านั้น แต่ยังเป็นการรื้อฟื้นองค์ประกอบงานศิลป์หลากหลายแขนง
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเปิดตัว เส้นทางท่องเที่ยว  “รอยยิ้มของแผ่นดิน” (Smile of the Land : Great Smile Grand Moment) ชวนออกเดินทางเที่ยวไทยตามพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

โขน ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หรือ “โขนพระราชทาน” เปิดทำการแสดงครั้งแรกในปี 2550 ด้วยตอน “พรหมมาศ” ซึ่งการกลับมาของโขนตามขนบมหรสพโบราณที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ได้เป็นเพียงการอนุรักษ์นาฏศิลป์ชั้นสูงไม่ให้สูญหายเท่านั้น แต่ยังเป็นการรื้อฟื้นองค์ประกอบงานศิลป์หลากหลายแขนงให้คืนชีพกลับมา ทั้งในด้านวรรณศิลป์ คีตศิลป์ หัตถศิลป์ และวิจิตรศิลป์ รวมทั้งปลุกกระแสโขนให้เป็นมากกว่ามรดกวัฒนธรรม แต่แรงบันดาลใจจากโขนยังส่งต่อสู่เส้นทางท่องเที่ยววัฒนธรรมที่ดึงดูดทั้งชาวไทยและต่างชาติ เช่นเดียวกับ 10 เส้นทางท่องเที่ยวที่ถอดแรงบันดาลใจจากโขนสู่ความสนุกในการเดินทาง…บอกเลยว่าคนรักโขนต้องปักหมุดตามรอยให้ได้สักครั้ง

“โขนพระราชทาน”

ชมเบื้องหลัง “โขนพระราชทาน” อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน

แม้ “โขนพระราชทาน” จะเป็นการรื้อฟื้นขนบโขนโบราณจากสมัยกรุงศรีอยุธยาให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง แต่สิ่งที่แตกต่างคือการนำเทคโนโลยีด้านโรงละครสมัยใหม่มาสร้างฉากโขนให้สมจริงและน่าตื่นตาราวกับหลุดมาจากจิตรกรรมฝาผนัง  และเมื่อการแสดงโขนในแต่ละปีจบลง ความยิ่งใหญ่ของฉากเหล่านั้นไม่ได้หายไป แต่เก็บรักษาไว้ที่ อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่นี่เป็นทั้งโรงสร้างฉาก และแหล่งเรียนรู้เรื่องราวเบื้องหลังกว่าจะเป็น “โขนพระราชทาน” ที่ประกอบด้วยงานหัตศิลป์ชั้นสูงหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นการทอผ้ายกประดับดิ้นลายต่างๆ การทำเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ หรือศิราภรณ์ ไปจนถึงการทำหัวโขน

“โขนพระราชทาน”

แน่นอนว่าฉากเด่นจำนวนมากที่เคยปรากฏโฉมบนเวทีแสดงโขนศิลปาชีพฯ ในปีต่างๆ ถูกเก็บไว้ที่ อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น ฉากหนุมานอมพลับพลาในการแสดงตอน “ศึกไมยราพ” ฉากเรือสำเภาหลวงในการแสดงตอน “พิเภกสวามิภักดิ์” ท้องพระโรงขนาดใหญ่ รวมถึงประติมากรรมร่างหนุมานขนาด 15 เมตร และประติมากรรมร่างนางผีเสื้อสมุทรขนาดใหญ่ในการแสดงตอน “สืบมรรคา” ซึ่งที่กล่าวมาไม่ได้ถูกนำมาเก็บแบบจัดวางนิ่ง ทว่ามีการนำมาจัดแสดงแบบถาวรด้วยเทคนิคที่ทันสมัย พร้อมแสงสี ทำให้ฉากเหล่านั้นยังคงเคลื่อนไหวได้ราวกับกำลังนั่งดูอยู่ในโรงแสดงโขน และหากโชคดีมาในช่วงที่กำลังจะมีการเตรียมการแสดงโขนประจำปีก็จะมีโอกาสได้เห็นช่างเขียนฉาก โขน กันแบบสมจริง เรียกว่าที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยเพียงหนึ่งเดียวที่รวมองค์ความรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับโขน และประวัติของโขนพระราชทานที่ริเริ่มโดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

การเข้าชม : เปิดวันพุธ-อาทิตย์ เวลา 09.30-16.00 น. ผู้ใหญ่  150 บาท, นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ราคา 75 บาท (เข้าชมฟรี! 1-30 พฤศจิกายน 2568)

พิกัด : ตั้งอยู่ในพื้นที่ของศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด ริมทางหลวงหมายเลข 347 (ถนนปทุมธานี-บางปะหัน) ตำบลเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 

ติดต่อ : โทร. 035-352-991

“โขนพระราชทาน”

“โขนไทยดูได้ตลอดปี” ศาลาเฉลิมกรุง

โขนไทยดูได้ทุกวันที่ “ศาลาเฉลิมกรุง” โรงมหรสพหลวงและเคยเป็นโรงมหรสพที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดของเอเชีย เปิดทำการเมื่อ พ.ศ.2476 ทั้งยังเป็น “โรงภาพยนตร์แห่งแรกในเอเชีย” ที่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ  ในอดีตศาลาเฉลิมกรุงจัดฉายภาพยนตร์ต่างประเทศเสียงในฟิล์ม  ปัจจุบันเป็นโรงมหรสพหลวง อีกแลนด์มาร์กการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมกับการเปิดการแสดงโขนทุกวันต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยจัดแสดงทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ วันละ 3 รอบ ความยาวรอบละ 25 นาที รอบเวลา 13.00 น. 14.30 น. และ 16.00 น. พิเศษคือทุกรอบมีคำบรรยายภาษาอังกฤษและปรับเรื่องให้กระชับทำให้ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนรุ่นใหม่สนุกกับโขนได้

การเข้าชม : สำหรับคนไทยที่สนใจเข้าชมการแสดงโขน สามารถซื้อบัตรได้ที่จุดจำหน่ายบัตรศาลาเฉลิมกรุง ในราคา 100 บาท (ตอนนี้ศาลาเฉลิมกรุงปิดปรับปรุงและจะกลับมาเปิดการแสดงใน พ.ศ.2569)

พิกัด : ถนนเจริญกรุง เขตพระนคร กรุงเทพฯ

ติดต่อ : โทร. 02-224-4499

“โขนพระราชทาน”

“หัวโขนชั้นครู” พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

อีกพิกัดที่คนรัก โขน ไม่ควรพลาดคือ ห้องนาฏดุริยางค์ (พระที่นั่งทักษิณาภิมุข) หมู่พระวิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร  ที่นี่เป็นห้องนิทรรศการถาวร จัดแสดงนาฏศิลป์ชั้นสูงในราชสำนัก ซึ่งของที่จัดแสดงแต่ละชิ้นล้วนหาชมยาก และหลายชิ้นก็ไร้คนสืบสาน เช่น หนังใหญ่ชุดพระนครไหว หนังกลางวันที่ทาสีลงบนตัวหนังสำหรับเชิดในเวลากลางวัน  หุ่นหลวงที่ซ่อมแซมโดยอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต  หุ่นวังหน้าที่ไร้ผู้สืบทอดอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งหัวของหุ่นหลวงพระยารักน้อย พระยารักใหญ่ ที่รัชกาลที่ 2 ทรงแกะจากไม้ด้วยพระองค์เอง

“โขนพระราชทาน”
เศียรหนุมานประดับด้วยมุกไฟ

และที่เป็นไฮไลต์ของห้องนี้คือ การรวมหัวโขนที่เป็นเศียรชั้นครูซึ่งมีความประณีตในเชิงช่าง และหลายชิ้นก็ไม่ค่อยได้เห็นที่ไหนมาก่อน โดยเฉพาะเศียรหนุมานประดับด้วยมุกไฟแทนผิวกายสีขาวอายุราว 200 ปี  สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยรัชกาลที่ 2  นอกจากนี้ยังมีเทริดโนราห์ที่วางอยู่ตรงกลางเศียรครู ซึ่งนี่คือจิกซอว์ชิ้นสำคัญของประวัติศาสตร์ เพราะหลังจากที่ครูนาฏศิลป์ถูกกวาดต้อนไปพม่าสมัยเสียกรุงครั้งที่ 2 พระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงขอให้ครูโนราห์จากเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นมาสอนโขนหลวงเพื่อฟื้นฟูนาฏศิลป์ชั้นครูให้กลับมา

การเข้าชม : เปิดวันพุธ-อาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น. ค่าเข้าชมชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท  นักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป พระภิกษุ สามเณร และนักบวชทุกศาสนา ไม่เสียค่าเข้าชม

พิกัด : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ถนนหน้าพระธาตุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ

ติดต่อ : โทร. 02-224-1333 และ 02-224-1402 หรือ Facebook : nationalmuseumbangkok

“โขนพระราชทาน”

“เวิร์กช็อปทำหัวโขน” หัวโขน ลูกพระพาย

โขน ไม่ได้จบอยู่แค่หลังม่านการแสดงบนเวทีที่ต้องตีตั๋วชมในโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่โขนยังถูกหยิบมาเป็นหมุดหมายสำคัญของการท่องเที่ยวที่ทำให้ทั้งคนไทยและต่างชาติสนุกและเข้าใจมหรสพชั้นสูงที่สืบต่อมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับโปรแกรม “เวิร์กช็อปทำหัวโขน” ของกลุ่ม “หัวโขน ลูกพระพาย” ซึ่งได้กลายมาเป็นหนึ่งไฮไลต์เส้นทางท่องเที่ยวชุมชนบ้านบุ ที่นักท่องเที่ยวต่างรู้จักดีในฐานะชุมชนทำขันลงหินที่ใกล้จะสูญหาย  ทว่านอกจากการเข้าชมขั้นตอนทำขันลงหินแล้ว ในชุมชนยังมีมุมลับๆ ที่เปิดพื้นที่เวิร์กช็อปในบรรยากาศธรรมชาติริมคลองบางกอกน้อย

โขน

“ตอนเด็กๆ หลายคนอาจจะเคยถูกผู้ใหญ่ปลูกฝังมาว่า หัวโขนคือของสูง ของมีครู ห้ามจับ ห้ามเล่น แต่เมื่อวัฒนธรรมถูกวางไว้บนที่สูง ยากจะเข้าถึง วันหนึ่งมันก็จะสูญหาย  สำหรับผมเองมองว่าวัฒนธรรมมันต้องจับได้ ต้องสัมผัสได้เราถึงจะเข้าใจ และอยากจะสืบสาน และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ผมอยากทำอะไรสักอย่างที่ทำให้คนได้สัมผัสกับวัฒนธรรมแบบเข้าใจง่าย ก็เลยนึกไปถึงของเล่นตอนเด็กที่เป็นชุดแม่พิมพ์ปูนปลาสเตอร์รูปหัวโขนที่ตอนนี้แทบจะหาไม่ได้แล้ว แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เราสนุกกับวัฒนธรรม”

โขน

พิชิต บุญจินต์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มหัวโขน ลูกพระพาย ย้อนเล่าถึงที่มาของการเปิดเวิร์กช็อปลงสีหัวโขนไซซ์จิ๋ว ซึ่งพิชิตเองไม่ได้เรียนจบโดยตรงด้านการทำหัวโขน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะพิชิตนึกไปถึงแม่พิมพ์หัวโขนปูนปลาสเตอร์ที่เด็กไทยยุคก่อนคุ้นเคย และหัวโขนปูนปลาสเตอร์นี้เองที่ทำให้เขาหันมาสนใจหัวโขนและชอบศิลปะ จนกระทั่งเขาได้มีโอกาสทำงานด้านเยาวชนและพัฒนาชุมชน  เขาจึงนำหัวโขนปูนปลาสเตอร์กลับมาอีกครั้ง และตอนนี้ก็กลายเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวต่างชาติที่อยากจะมีของที่ระลึกให้นึกถึงเมืองไทยแบบที่มีชิ้นเดียวในโลก นั่นก็คือหัวโขนที่พวกเขาลงมือปั้นและลงสีด้วยตัวเอง

การเข้าชม : แนะนำให้ติดต่อจองเวิร์กช็อปล่วงหน้า เพื่อให้ทีมงานเตรียมอุปกรณ์ และเลือกแบบหัวโขน

พิกัด : ซอยจรัญสนิทวงศ์ 32ชุมชนบ้านบุ บางกอกน้อย กรุงเทพฯ

ติดต่อ : โทร. 083-719-3589

โขน

“จัดแสดงหัวโขนมากที่สุดในไทย” พิพิธภัณฑ์หัวโขน สวนนงนุชพัทยา

นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้เรื่องพฤกษศาสตร์ชื่อดังของเมืองพัทยาแล้ว สวนนงนุชพัทยายังมีจุดเช็กอินสำหรับผู้ที่ชื่นชอบศิลปวัฒนธรรมไทยกับการเปิด พิพิธภัณฑ์หัวโขน ที่รวบรวมหัวโขนแบบต่างๆ ไว้มากที่สุดในไทยกว่า 500 เศียร ทั้งหัวโขนชุดอนุรักษ์แบบโบราณ หัวโขนบรมครูฤาษี และหัวโขนรามเกียรติ์ สร้างสรรค์โดยทีมช่างฝีมือของสวนนงนุชและใช้เวลากว่า 4 ปี

พิพิธภัณฑ์หัวโขนอยู่ในโซนที่เรียกว่าสวนนงนุช 2 ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้และแยกออกมาจากเส้นทางท่องเที่ยวหลักภายในสวนนงนุช โดยเริ่มดำเนินการสร้างในช่วงกลางปี  พ.ศ. 2560 ด้วยงบประมาณกว่า 10 ล้านบาท และเปิดให้บริการเมื่อต้นปี 2565  แรงบันดาลใจในการก่อตั้งเกิดจากการที่ กัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยามีโอกาสไปตกแต่งสวนให้ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้เห็นความวิจิตรของหัวโขนที่ช่างฝีมือของศูนย์ศิลปาชีพฯ ได้รังสรรค์ขึ้นจึงเกิดไอเดียที่จะสร้างหัวโขนให้ได้จำนวนมากที่สุดเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปกรรมไทยชั้นสูงในสวนนงนุช

“โขนพระราชทาน”

“ในสวนนงนุชนอกจากจะส่งเสริมให้รักธรรมชาติ รักสัตว์แล้ว ผมอยากเสริมศิลปะไทยเข้าไปด้วยเพื่อให้เราภาคภูมิใจในความเป็นไทยและมรดกวัฒนธรรมที่เรามี  เราก็ค่อยๆ ทำทีละนิดๆ โดยใช้เวลา 4 ปีกว่าในการค่อยๆ สร้างหัวโขนแต่ละเศียร  ผมต้องการให้เป็นที่ที่รวบรวมหัวโขนไว้ได้มากที่สุดในโลก” กัมพลกล่าวถึงแรงบันดาลใจในการสร้างพิพิธภัณฑ์หัวโขน

ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ประดับด้วยประติมากรรมปูนปั้นขนาดสูง 4 เมตร รูปหนุมานอมพลับพลา ในตอน “ศึกไมยราพ”  ส่วนบริเวณภายในเป็นห้องโถงขนาดใหญ่เรียงรายด้วยตู้กระจกที่ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นจำนวน 121 ตู้ ที่จัดแสดงหัวโขน โดยหัวโขนของที่นี่เป็นขนาดสำหรับสวม หรือที่เรียกว่า “หัวใหญ่” และทั้งหมดได้รับการรับรองจาก อาจารย์ธนธรณ์ คุงจำรัส ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งหัวโขนบ้านพรพิราพและเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยในวัง (ศาลายา)

“โขนพระราชทาน”

หัวโขนชุดอนุรักษ์แบบโบราณมีจำนวน 24 เศียร สร้างตามขั้นตอนแบบโบราณด้วยโครงกระดาษสาปิดทับหลายชั้นลงบนหุ่นปูนปลาสเตอร์ที่เคลือบดินสอพอง เช่น หัวโขนรูปพระอิศวร ซึ่งเป็นเศียรแรกที่พิพิธภัณฑ์สร้าง  หัวโขนพระพิฆเนศ หัวโขนพระราม และพระลักษมณ์  ส่วนหัวโขนพ่อแก่หรือฤษีมีจำนวนทั้งสิ้น 108 เศียรตามตำนานฤษี 108 ตน เช่น ฤษีสุเมธ ประดับตกแต่งด้วยปีกแมลงทับจากศูนย์ศิลปาชีพบางไทร และฤษีพรหมปรเมศฎ์ ตกแต่งด้วยกรรมวิธีการเขียนทองลงยาแบบโบราณของสุโขทัย

ส่วนหัวโขนรามเกียรติ์มีจำนวนทั้งสิ้น 374 เศียร  ไฮไลต์คือ หัวโขนทศกัณฐ์ 3 เศียร พระรามตอนเดินดงและออกบวช  หนุมานตอนบวชและแผลงฤทธิ์  นอกจากนี้ยังมีหัวโขนที่เป็นตัวละครสัตว์ต่างๆ ในรามเกียรติ์ เช่น หัวโขนปู เป็นตอนที่ทศกัณฐ์ต้องการแก้แค้นพญาพาลีที่แย่งนางมณโฑไปจนให้กำเนิดลูกชายชื่อองคต  ทศกัณฐ์จึงแปลงกายเป็นปูเพื่อรอฆ่าองคตในพิธีสรงน้ำ และหัวโขนตุ๊กแก เล่าเรื่องยักษ์วิรุฬหก  นอกจากนี้ยังมีห้องสาธิตงานผลิตหัวโขน ห้องเขียนลาย และตกแต่งหัวโขน ให้ผู้สนใจได้ชมขั้นตอนการสร้างสรรค์อีกด้วย

การเข้าชม : บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์หัวโขน ราคาคนละ 200 บาท และสำหรับหมู่คณะจำนวน 30 คนขึ้นไปราคาคนละ 150 บาทพร้อมวิทยากรนำชม (ต้องนัดหมายล่วงหน้า) เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.30 น.

พิกัด : ตั้งอยู่ภายในสวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี ในโซนศูนย์เรียนรู้ที่เรียกว่าสวนนงนุช 2

ติดต่อ : โทร. 081-919 2153 หรือ 038-415-145

“จิตรกรรมรามเกียรติ์ที่สมบูรณ์ที่สุดในไทย” วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่รู้จักกันในนาม วัดพระแก้ว ถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมงานศิลปะวังหลวงในแบบฉบับของกรุงรัตนโกสินทร์แทบจะทุกแขนง และสำหรับผู้ที่สนใจจิตรกรรมฝาผนัง ที่วัดพระแก้วแห่งนี้มีจิตรกรรมฝาผนังที่โดดเด่นด้วยเนื้อหาของรามเกียรติ์ที่วาดเต็มผนังตลอดระเบียงคด ซึ่ง รามเกียรติ์ เป็นวรรณกรรมที่ได้รับอิทธิจาก “มหากาพย์รามายณะ” ของอินเดียและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ รวมทั้งยังถูกนำมาเป็นเนื้อหาในการแสดงโขน

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่1 ได้พระราชนิพนธ์ รามเกียรติ์ ขึ้นเพื่อรวบรวมวรรณกรรมแห่งยุคตั้งแต่ต้นจนจบอย่างสมบูรณ์  ถัดมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงให้ช่างเขียนจิตรกรรมเล่าเรื่องรามเกียรติ์ตามพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 ลงบนระเบียงคดวัดพระแก้วเป็นครั้งแรกและซ่อมแซมครั้งสุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ 9 คราวพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี

สำหรับ รามเกียรติ์ บนระเบียงคดวัดพระแก้วนั้น ได้รับการยกย่องให้เป็นจิตรกรรมฝาผนังที่ยาวที่สุดในโลก แบ่งการเขียนภาพออกเป็นห้องๆ ทั้งหมด 178 ห้อง ถือเป็นจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง รามเกียรติ์ ที่สมบูรณ์ที่สุดในไทย และในการแสดงโขนพระราชทานก็มีการหยิบจับเอาจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้มาสร้างเป็นฉาก โดยเฉพาะฉากหนุมานอมพลับพลา ตอน “ศึกมัยราพณ์”รวมทั้งยังมีการถอดท่าทางการยกทัพสู้รบจากจิตรกรรมมาไว้บนเวทีการแสดงอีกด้วย  ใครที่ประทับใจฉากรามเกียรติ์จากโขนพระราชทาน สามารถตามรอยมาชมต้นทางของแรงบันดาลใจได้ที่วัดพระแก้ว

การเข้าชม : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น. (คนไทยเข้าชมฟรี)

พิกัด : ถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร กรุงเทพฯ

ติดต่อ : www.royalgrandpalace.th

“โรงกระดาษข่อยโบราณหนึ่งเดียวในไทย” ศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทอง

ศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทอง จังหวัดอ่างทอง เป็นแหล่งผลิต “กระดาษข่อยแบบโบราณ” เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ยังอนุรักษ์การทำกระดาษแบบโบราณทุกขั้นตอน และกระดาษข่อยของที่นี่ยังใช้ในการผลิตหัวโขนตามขนบช่างโบราณสำหรับการแสดงโขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งถือกำเนิดโดยสายพระเนตรอันยาวไกลของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

“ศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทองเริ่มรื้อฟื้นและอนุรักษ์การทำกระดาษข่อยแบบโบราณเมื่อ พ.ศ.2558 เพื่อใช้ในการทำหัวโขนตามอย่างที่ใช้กันดั้งเดิมตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  กระดาษข่อยมีคุณสมบัติทนทาน ปลวกมอดไม่กิน และน้ำหนักเบา  ทีมงานได้รับการฝึกฝนทักษะและฝีมือภายใต้การเคี่ยวกรำของอาจารย์สุดสาคร ชายเสม และกระดาษข่อยที่เราทำมีออร์เดอร์เรื่อยๆ มาจากออร์เดอร์ทางศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มีคนสนใจสั่งซื้อกระดาษไปใช้ในการอนุรักษ์ ใช้วาดรูป หรือทำเป็นสมุดข่อยหลายๆ ขนาด” ภัทรจาริน พงษ์พัฒน์ หัวหน้าแผนกโขนของศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทอง กล่าว

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ภายในศูนย์ฯ ปลูกต้นข่อยไว้กว่า 100 ต้น  คุณสมบัติที่ดีของข่อย คือ ยางที่เหนียวทำให้เนื้อเยื่อเกาะกันได้ดี เมื่อนำมาทำกระดาษจึงเหนียวและไม่ฉีกขาดง่าย  กระบวนการผลิตกระดาษข่อยมีหลายขั้นตอนต้องใช้แรงกายและความอดทนอย่างมาก เพราะผลิตมือทุกขั้นตอน  เริ่มจากนำต้นข่อยมาลอกและฉีกเป็นเส้นบางๆ และนำเนื้อเยื่อที่ได้ไปหมักในโอ่งที่ผสมปูนขาวและแมกนีเซียมเป็นเวลาอย่างน้อย 10 วัน เพื่อให้เยื่อข่อยนุ่ม  จากนั้นนำไปล้างและต้มด้วยฟืนเป็นเวลาร่วม 1 สัปดาห์ เพื่อให้เนื้อเยื่อเปื่อยและดึงขาดง่าย  ส่วนขั้นตอนที่ใช้แรงมากที่สุดคือการทุบเยื่อข่อยที่เริ่มเปื่อยให้แหลกละเอียดด้วยค้อนไม้บนเขียงไม้ตะเคียนขนาดยาว

เมื่อทุบละเอียดได้ที่แล้วจะนำไปผสมกับน้ำเปล่า จากนั้นใช้พะแนงซึ่งเป็นแม่พิมพ์กรอบไม้บุด้วยผ้ามุ้งวางลงในรางน้ำและนำเยื่อข่อยลงละลายในพะแนงเกลี่ยแผ่ให้เต็มเสมอกัน เมื่อเกลี่ยได้เรียบแล้วยกขึ้นตาก เมื่อแห้งแล้วจึงนำกระดาษที่ได้ไปผ่านการกรวดกระดาษ คือรีดให้เรียบโดยใช้เปลือกหอยสังข์หรือหินแม่น้ำขนาดใหญ่เหมาะมือ จากนั้นเคลือบกระดาษด้วยกาวแป้งเปียกที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า เพื่อทำให้กระดาษแข็งและเขียนได้ดี

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สำหรับกระดาษข่อยที่ใช้ในการทำหัวโขนหรือเรียกว่า “กระดาษเพลา”  หัวโขน 1 หัวใช้กระดาษเพลาประมาณ 30 แผ่น และใช้เวลาประมาณ 4 เดือนจึงแล้วเสร็จทุกขั้นตอน  ขั้นตอนการทำเริ่มจากฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กๆ และทาด้วยกาวแป้งเปียก เพื่อติดลงบนหุ่นปูนปลาสเตอร์ที่เคลือบดินสอพองไว้แล้ว  เมื่อแปะกระดาษรอบหุ่น 1 รอบ จะใช้แท่งไม้กรวดให้ผิวเรียบเสมอกัน  เมื่อเสร็จแล้วถอดหัวโขนจากหุ่นและลงรักอีก 2-3 ชั้น เพื่อกันปลวกและแมลงและผึ่งลมให้แห้ง  จากนั้นปั้นโครงหน้าโดยใช้ “สมุก” ที่ทำได้จากการนำก้านกล้วยมาเผาและผสมกับยางรักและเยื่อข่อยแบบละเอียดและตำให้เนียนละเอียด  เมื่อปั้นโครงหน้าเสร็จและปล่อยให้แห้งจะติดทับอีกชั้นด้วยกระดาษข่อยแบบบางเหมือนกระดาษทิชชู จากนั้นเขียนลายหน้า ติดลวดลาย ปิดทอง ติดพลอยและกระจก และเขียนสี

“การทำหัวโขนแบบดั้งเดิมโดยใช้กระดาษข่อยทั้งหมด ราคาค่อนข้างสูง หลายคนจึงใช้เรซิน หรือกระดาษอื่นที่ราคาถูกกว่า เช่น กระดาษสา  แต่หัวโขนที่ทำจากกระดาษข่อยและลงรักจะมีความแข็งแรงทนทาน น้ำหนักเบา และอยู่ได้เป็นร้อยปี”

นอกจากแผนกหัวโขนและกระดาษข่อยแล้ว ทางศูนย์ฯ ยังมีแผนกทอผ้าที่สาธิตการทอผ้ายกเมืองนคร ที่ใช้ในการสร้างสรรค์ชุดสำหรับการแสดงโขนมูลนิธิฯ รวมทั้งแผนกเซรามิกและแผนกเครื่องปั้นดินเผาอีกด้วย

การเข้าชม : ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-16.00 น.  แต่แนะนำให้ติดต่อล่วงหน้าหากต้องการชมกระบวนการผลิตกระดาษข่อยเนื่องจากวัตถุดิบบางอย่างอาจไม่พร้อมในทุกวันทำการ

พิกัด : ตำบลสีบัวทอง อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง

ติดต่อ : โทร. 081-529 2661 (อาจารย์ธนันญา โพธิวรรณ์) หรือ https://www.facebook.com/sibuathongth

“โขนพระราชทาน”

“แหล่งทอผ้ายกโขน” ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง

การกำเนิดขึ้นของโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หรือโขนพระราชทาน โดย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไม่ใช่แค่การรื้อฟื้นโขนไทยตามขนบโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยาให้กลับคืนมาเท่านั้น แต่ยังเป็นการคืนชีพงานหัตถศิลป์โบราณหลากหลายแขนงที่เกี่ยวเนื่องกับโขน และหนึ่งในนั้นก็คือ “ผ้ายกนครฯ” ที่ทอและใช้สำหรับนำมาทำชุดโขนพระราชทานโดยเฉพาะ จนมีชื่อเรียกติดปากว่า “ผ้าโขน”

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สำหรับโขนโดยทั่วไปที่ไม่ได้มีทุนในการจัดแสดงสูง มักจะลดความประณีตในการปักผ้า บ้างก็ใช้ผ้าแข็ง หนา ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแสดง  ต่อเมื่อมีการก่อตั้งโขนพระราชทาน สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงจึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ผู้เชี่ยวชาญฟื้นฟูเครื่องแต่งกายโขนโบราณให้กลับคืนมา โดยทรงเลือกใช้ “ผ้ายก” จากศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง และศูนย์ศิลปาชีพบ้านตรอกแค ซึ่งมีคุณภาพดีกว่าผ้ายกจากอินเดียที่ราชสำนักไทยโบราณนิยมกัน รวมทั้งมีโครงสร้างสีที่นิ่มนวล ไม่ฉูดฉาดเหมือนผ้ายกอินเดีย ซึ่งหากไม่มีการรื้อฟื้นการทอผ้ายกนครฯ มาทำผ้าโขน ก็อาจจะทำให้ผ้ายกแบบโบราณของเมืองนครศรีธรรมราชสูญหายไปแล้ว

“โขนพระราชทาน”

“ที่ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง เราทอทั้งผ้าทั่วไปและผ้าโขน ที่จะส่งสำหรับตัดชุดโขนโดยเฉพาะ ซึ่งปีหนึ่งจะทอส่งประมาณ 30 ผืน ที่เราทำได้น้อย เพราะแต่ละผืนต้องใช้เวลาทอเป็นเดือน  ผ้ายกผืนหนึ่งต้องใช้คนทอถึง 6 คน  วันหนึ่งทอได้ประมาณ 4-5 เซนติเมตร  ถ้าไม่ได้ทอให้กับทาง “โขนพระราชทาน” ผ้ายกที่ใช้เทคนิคโบราณแบบนี้ก็อาจจะสูญหายไปแล้ว”

กฤษกร ม้าแก้ว ประธานกลุ่มทอผ้า ย้ำถึงความสำคัญของ “โขนพระราชทาน” ที่ทำให้การทอผ้ายกแบบโบราณได้รับการฟื้นฟูขึ้นมา พร้อมกับการก่อตั้งศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมังใน พ.ศ. 2535 เพื่อแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกร จากเดิมที่เน้นไปที่การแปรรูปกระจูดที่หาได้ง่ายในพื้นที่ การปักผ้า และการทอผ้าฝ้าย ก็ขยายมาเป็นการทอผ้ายกแบบราชสำนักนครศรีธรรมราช ที่สูญหายไปกว่า 100 ปี และนำมาใช้แทนผ้ายกอินเดียในการตัดเย็บชุดการแสดงโขน

การเข้าชม : ติดต่อล่วงหน้าหากต้องการชมกระบวนการทอผ้ายก

พิกัด : ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช

ติดต่อ : โทร. 084-526-0558 (กฤษกร ม้าแก้วประธานกลุ่มทอผ้า)

โขน

“ผ้ายกโบราณเมืองนคร” วิสาหกิจชุมชนกนกศิลป์ผ้าทอ

วิสาหกิจชุมชนกนกศิลป์ผ้าทอ เป็นกลุ่มช่างฝีมือทอผ้าที่สืบสาน “ผ้ายกเมืองนคร” ซึ่งเป็นมรดกหัตถศิลป์ล้ำค่าของชาวนครศรีธรรมราช  ด้วยเทคนิคการทอและลวดลายที่สลับซับซ้อน ประณีต และสวยงาม พร้อมกับต่อยอดด้วยการพัฒนากี่ทอผ้าที่เรียกว่า “กี่แจ็กการ์ดทอมือ” เพื่อช่วยลดแรงและย่นระยะเวลาการทอผ้าแต่ยังคงรักษาลวดลายการทอแบบดั้งเดิม

โขน

ภาณุพงศ์ ปานเผือก ประธานวิสาหกิจชุมชนกนกศิลป์ผ้าทอ กล่าวว่าจุดเริ่มต้นเกิดจากแม่ของเขาผู้ก่อตั้งร้านขายและผลิตผ้าชื่อว่า ร้านกนกศิลป์นคร และเป็นหนึ่งในสมาชิกศูนย์ศิลปาชีพบ้านตรอกแค ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคนิคการทอผ้ายกเมืองนคร หรือ “ผ้าโขน” ตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อฟื้นฟูและรักษาภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมที่มีมาแต่โบราณให้คงอยู่สืบไป  ภาณุพงศ์ในฐานะทายาทรุ่นที่ 2 จึงได้เรียนรู้ทักษะการทอผ้าจากแม่และร่วมทำงานกับ อาจารย์จันทรา ทองสมัคร และทีมวิจัยการฟื้นฟูผ้ายกเมืองนครจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ในการสืบค้นและถอดแบบลวดลายผ้าโบราณจากภาพถ่ายเก่าและผ้าโบราณที่จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์เมืองนครศรีธรรมราช

โขน

“ในอดีตผ้ายกเมืองนครเป็นผ้าที่ใช้เฉพาะเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชและภายในราชสำนักจึงมีลวดลายและเทคนิคการทอที่ยากและสลับซับซ้อน  การทอยกเพิ่มลวดลายด้วยเส้นพุ่งพิเศษทำให้เกิดลายนูนที่เป็นเอกลักษณ์บนผืนผ้าและมีลายเชิงผ้าหลายชั้น เช่น ลายลูกขนาบ ลายหน้ากระดาน ลายช่อแทงท้อง และลายสร้อย  จากนั้นต่อด้วยลายท้องผ้าซึ่งจะเป็นลายไม่ซ้ำกับลายเชิงและจบด้วยลายเชิงอีกด้านหนึ่ง  ด้วยลายเชิงที่มีหลายชั้นทำให้บางลายมีถึง 700-800 ตะกอ (อุปกรณ์ใช้สำหรับแยกเส้นไหมยืนขึ้นลงให้ขัดกับด้ายพุ่ง) ซึ่งยิ่งจำนวนตะกอที่มากขึ้นจะยิ่งทำให้การทอซับซ้อนมากขึ้น”

การทอด้วยกี่ทอมือแบบโบราณจึงต้องมีผู้ช่วยอย่างน้อย 2 คนในการเปลี่ยนตะกอเวลาทอผ้าทำให้กว่าจะได้ผ้าแต่ละผืนใช้เวลาร่วมเดือน  ภาณุพงศ์ซึ่งสำเร็จการศึกษาในสาขาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช จึงใช้เวลาร่วม 6 ปี ในการศึกษาค้นคว้าและทดลองจนสามารถประดิษฐ์กี่แจ็กการ์ดทอมือได้สำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งยังเป็นการทอผ้าด้วยแรงงานช่างฝีมือ แต่มีกลไกช่วยในการเปิดตะกอตามจังหวะที่เหยียบทำให้สามารถทอผ้าคนเดียวได้โดยไม่ต้องมีผู้ช่วยและย่นระยะเวลาจากปกติใช้เวลาราว 1 เดือนต่อผ้า 1 ผืน เหลือเพียงประมาณ 1 สัปดาห์

โขน

ลวดลายผ้ายกเมืองนครแบบโบราณยังได้รับการสานต่อ เช่น ลายเกล็ดพิมเสนแบบเพชรเจียระไนและแบบข้าวหลามตัด  ลายพิกุลดอกลอย และลายพิกุลก้านแย่ง  นอกจากนี้ภาณุพงศ์ยังได้ศึกษาลายไทยแบบต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนาเป็นลายสำหรับการทอแบบผ้ายกเมืองนคร เช่น ลายพุดตานก้านแย่ง ลายเบญจมาศ และลายดอกไม้ร่วง  อีกทั้งออกแบบลายพิเศษตามความต้องการของลูกค้า เช่น ลายนครอมรศิลป์ สำหรับสำนักวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช และลายหัวนะโม สำหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

ภาณุพงศ์ใช้พื้นที่ภายในบริเวณร้านกนกศิลป์นครของครอบครัวเพื่อจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนกนกศิลป์ผ้าทอ เมื่อ พ.ศ. 2565 เพื่อส่งเสริมการทอผ้ายกนครภายในชุมชนและปัจจุบันมีจำนวนสมาชิก 10 คน  ปัจจุบันทางกลุ่มมีกี่แจ็กการ์ดทอมือจำนวน 2 หลัง หลังหนึ่งสำหรับทอผ้ายกฝ้ายและอีกหลังสำหรับทอผ้ายกไหม  ผ้าทอมีหน้ากว้าง 1 เมตร ส่วนความยาวแล้วแต่ความต้องการของลูกค้า  หากตัดเป็นผืนจะมีความยาว 2 หลา และ 2 เมตร โดยราคาขายอยู่ที่ 4,500 บาทต่อหลาสำหรับผ้าไหม และ 2,200 บาทต่อเมตรสำหรับผ้าฝ้าย

การเข้าชม : ผู้สนใจสามารถชมการทอผ้ายกเมืองนครโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในวันจันทร์-เสาร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.

พิกัด : ตำบลขอนหาด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช

ติดต่อ : โทร. 087-283-6370

โขน

“ผ้าราชสำนักไทยโบราณ” พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

ยกให้เป็นพิพิธภัณฑ์ผ้าที่ดีที่สุดในไทยสำหรับ พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตั้งอยู่ริมกำแพงพระบรมมหาราชวังด้านทิศเหนือ ติดกับประตูวิเศษไชยศรี  จัดแสดงประวัติศาสตร์ผ้าไทย พร้อมห้องอนุรักษ์ผ้า และห้องสมุดที่อัดแน่นความรู้เรื่องผ้าและแฟชั่น  ด้านในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงทั้งนิทรรศการหมุนเวียนเกี่ยวกับผ้าไทย รวมทั้งพระราชกรณียกิจของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงยกระดับการทอผ้าไทยและอนุรักษ์การทอผ้าของชุมชนต่างๆ

ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนใน 3ห้องนิทรรศการ  เริ่มจากนิทรรศการ ชุดไทย : จากราชสำนักสู่ราชนิยม (Chud Thai: Dressing the Nation in Heritage) พาย้อนไปยังปี  พ.ศ.2503 เมื่อครั้งที่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป  พระองค์ทรงตระหนักว่า การปรากฏพระองค์เปรียบเสมือนตัวแทนของคนทั้งชาติ  แต่ในขณะนั้นสตรีไทยยังไม่มีการแต่งกายที่เป็นแบบแผนและแสดงเอกลักษณ์ของชาติที่ชัดเจน  พระองค์จึงมีพระราชดำริให้จัดทำเครื่องแต่งกายที่สะท้อนความเป็นไทยและมีความร่วมสมัย พร้อมให้ผู้เชี่ยวชาญศึกษารูปแบบการแต่งกายของสตรีไทยในราชสำนักโบราณ ประยุกต์เข้ากับเทคนิคการตัดเย็บสมัยใหม่ และทรงออกแบบชุดไทยที่สวมใส่ได้สะดวกเข้ายุคสมัย จึงเป็นที่มาของไทยพระราชนิยม 8 แบบ

โขน

อีกห้องคือนิทรรศการคือ “สิริราชพัสตราบรมราชินีนาถเผยแพร่พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผ่านฉลองพระองค์ในช่วงเวลาต่างๆ ซึ่งหลายชุดเป็นภาพจำของพระองค์ ที่หลายคนเคยเห็นตามสิ่งพิมพ์ต่างๆ  ห้องนี้มีทั้งฉลองพระองค์ที่ทรงให้ดีไซเนอร์ชาวต่างชาติออกแบบและฉลองพระองค์ที่ห้องเสื้อชาวไทยออกแบบ

โขน

นิทรรศการสุดท้ายคือ “ราชภูษิตาภรณ์สยาม” จัดแสดงฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รวมทั้งพระภูษาเศวตพัสตร์ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของรัชกาลที่ 9  และที่หาชมไม่ได้บ่อยนักคือผ้าในราชสำนักประเภทต่างๆ เช่น ผ้าเยียรบับ ผ้าเข้มขาบ ผ้าอัตลัด ผ้าลายอย่าง ผ้าปูม รวมทั้ง ผ้ายก ที่เป็นผ้าเฉพาะสำหรับการแสดง โขน แบบโบราณอีกด้วย

การเข้าชม : เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. เฉพาะวันเสาร์ ปิดให้บริการ 16.00 น.  ค่าเข้าชม 150 บาท  นักเรียน นักศึกษา 50 บาท  ผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) 80 บาท  เด็กอายุต่ำกว่า 12  ปี เข้าชมฟรี

พิกัด : หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง ถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร กรุงเทพ

ติดต่อ : โทร. 02-225-9431 www.qsmtthailand.org

Fact File

นอกจากแรงบันดาลจาก “โขนพระราชทาน” สู่ 10 เส้นทางท่องเที่ยวแล้ว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังมีเส้นทางท่องเที่ยว  “รอยยิ้มของแผ่นดิน” (Smile of the Land : Great Smile Grand Moment) ชวนออกเดินทางเที่ยวไทยตามพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ธรรมชาติ และชุมชน เพื่อถ่ายทอดพระเมตตา พระปรีชาญาณ และแรงบันดาลใจจากพระองค์สู่ประชาชนทั้งไทยและชาวต่างชาติ สามารถติดตามเส้นทางท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ Facebook, เว็บไซต์, TikTok และ Instagram ของ Amazing Thailand, 1672 Travel Buddy, ข่าวสารท่องเที่ยว ททท. และ อนุสาร อ.ส.ท. หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1672 Travel Buddy


Author

ศรัณยู นกแก้ว
Editor ที่ผ่านทั้งงานหนังสือพิมพ์ พ็อกเก็ตบุ๊ค และนิตยสาร ปัจจุบันยังคงสมัครใจเป็นแรงงานด้านการผลิตคอนเทนต์
เกษศิรินทร์ ผลธรรมปาลิต
Feature Editor ประจำ Sarakadee Lite อดีต บรรณาธิการข่าวไลฟ์สไตล์ Nation ผู้นิยมคลุกวงในแวดวงศิลปวัฒนธรรมจนได้ขุดเรื่องซีฟๆ มาเล่าสู่กันฟังเสมอ