Moxie : สารจากสตรีกับการเลือกที่จะต่อต้านด้วยเสียงกรี๊ด
Lite

Moxie : สารจากสตรีกับการเลือกที่จะต่อต้านด้วยเสียงกรี๊ด

Focus
  • Moxie ภาพยนตร์จากต้นฉบับนวนิยายชื่อเดียวกันของ เจนนิเฟอร์ มาธิยู (Jennifer Mathieu) นักเขียนนิยายวัยรุ่นที่มีผลงานอันเป็นที่พูดถึงอย่าง The Truth about Alice, Devoted,The Liars
  • ในฉบับภาพยนตร์ Moxie ถูกถ่ายทอดภายใต้การกำกับดูแลของ เอมี โพห์เลอร์ (Amy Poehler) นักแสดงรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe Awards)

Moxie ภาพยนตร์จากต้นฉบับหนังสือนวนิยายชื่อเดียวกันของ เจนนิเฟอร์ มาธิยู (Jennifer Mathieu) นักเขียนนิยายวัยรุ่นที่มีผลงานโด่งดังอย่าง The Truth about Alice, Devoted และ The Liars สำหรับ Moxie ในฉบับภาพยนตร์นี้ผลิตโดย Netflix ภายใต้การกำกับของ เอมี โพห์เลอร์ (Amy Poehler) นักแสดงรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe Awards) จากเรื่อง Parks and Recreation (2009) ซึ่งนอกจากงานแสดงแล้วเธอยังมีผลงานกำกับ เขียนบท และเป็นโปรดิวเซอร์ให้ซีรีส์ ภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง และในครั้งนี้ เอมี โพห์เลอร์ หยิบนวนิยายวัยรุ่นสุดขบถให้ออกมาเป็นภาพยนตร์ที่ร่วมตั้งคำถามในประเด็นสำคัญแห่งยุคสมัย

ความต่างใน High School-Coming of Age ฉบับอเมริกัน

ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเกี่ยวกับ วิเวียน (Vivian) หญิงสาวไฮสกูล ซึ่งมีคาแรคเตอร์ตรงตามฉบับภาพยนตร์อเมริกันที่เด็กไฮสกูลมักจะประกอบไปด้วย เด็กเนิร์ดสวมเสื้อคาดิแกนสวมแว่น เพื่อนสาวชาวเอเชีย นักเต้นเชียร์ลีดเดอร์สุดเซ็กซี่ และแน่นอนว่าต้องมีอันธพาลหนุ่มประจำชมรมอเมริกันฟุตบอลร่างใหญ่ที่มาพร้อมกับความฮอตและสามารถกำหนดทิศทางอำนาจในโรงเรียน แถมด้วยบรรดาอาจารย์ที่ไม่เข้าใจวัยรุ่น ซึ่งเรื่องนี้ได้จัดวางลำดับโครงสร้างตัวละครและเรื่องในช่วงเปิดปูพรมให้ผู้ชมเห็นระบบนิเวศของขนบภาพยนตร์ High School-Coming of Age อย่างชัดเจน พร้อมพล็อตรักวัยรุ่นที่เป็นแบบภาพยนตร์อเมริกันนิยม

แต่กระนั้น Moxie กลับแตกต่างด้วยการนำขนบทางเรื่องราว และธรรมเนียมทางสังคมอเมริกันนิยมดังที่กล่าวมาแล้วมารื้อ สังเกต และกำหนดวิธีการปฏิบัติของตัวละครต่าง ๆ ใหม่ ผ่านตัวละครหลักอย่าง วิเวียน หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งในโรงเรียนผู้มองเห็นการกลั่นแกล้งเป็นความธรรมดาแบบหนึ่งถึงขั้นเคยคิดว่า การไม่ต้องจัดการหรือต่อต้านว่าความเบียดเบียนทำร้ายนั้นเป็นความเลวร้าย แต่สุดท้ายมโนธรรมของวิเวียนก็เกิดขึ้นเมื่อได้ผ่านประสบการณ์ที่ มิธเชล (Mitchell) หัวโจกหนุ่มอเมริกันฟุตบอลแกล้ง ลูซี่ (Lucy) นักเรียนสาวผิวสีผู้มาใหม่ วิเวียนได้คุยกับลูซี่ว่าปล่อยมิธเชลไปเถอะเขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว ลูซี่ที่เพิ่งเข้ามาสู่สังคมโรงเรียนใหม่หมาด ๆ จึงเถียงกลับฉับพลันด้วยเหตุผลว่า แล้วทำไมเราถึงต้องปล่อยการกระทำแบบนี้ให้เป็นเรื่องธรรมดา ทำไมเราไม่บอกว่ามันเป็นเรื่องเลวร้าย

moxie

ภาพยนตร์เลือกจะเล่าว่าอะไรทำให้มิธเชลมองผู้หญิงผิวสีอย่างลูซี่ต่างออกไปจากตน โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในคาบเรียนวรรณกรรม นักเรียนทั้งห้องต้องอ่านเรื่อง The Great Gatsby วรรณกรรมขึ้นหิ้งที่อยู่ ๆ ลูซี่ก็ถามขึ้นว่า ทำไมเราต้องอ่านเรื่องรักของมหาเศรษฐีผิวขาวอย่างเรื่องนี้ทั้งที่มีวรรณกรรมอื่น ๆ เต็มไปหมด

ครูผู้สอน (ซึ่งเป็นผู้ชาย) ได้แจ้งว่า The Great Gatsby เป็นวรรณกรรมชั้นดี คลาสสิก และมิธเชลก็เสริมขึ้นว่า มันดีเพราะเป็นวรรณกรรมอมตะผ่านเวลาแสดงว่าต้องมีอะไรดี ในจุดนี้เองที่ทำให้เราเห็นการส่งผ่านอุดมการณ์ชายเป็นใหญ่ในฐานะอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมซึ่งส่งทอดผ่านวรรณกรรมคลลาสสิก รวมทั้งการยอมรับคุณค่าวัฒนธรรมปฏิบัติจากความเชื่อแบบอนุรักษ์นิยมที่ว่า งานอมตะนั้นดีงาม มีคุณค่าในตัวเองอย่างบริสุทธิ์ และสมควรจะถ่ายทอดเรียนรู้สืบไปโดยละเลยต่อการตั้งคำถามใหม่ ๆ อย่างในกรณีคำถามของลูซี่ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามกับชุดความคิดแบบชายเป็นใหญ่ อภิสิทธิ์คนผิวขาว รวมถึงวรรณกรรมในฐานะตัวบทคลาสสิก

การสร้างสำนึกของความไม่เท่าเทียมที่ก่อร่างผ่านแบบเรียน แบบธรรมเนียมอนุรักษ์ทั้งการยอมรับในวรรณกรรม โดยเหตุผลสั้น ๆ เพียงเพราะว่า มันคลาสสิก รวมทั้งการยอมรับอุดมการณ์ของครูผู้ชาย ทำให้มิธเชลผูกขาดกับอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม และการส่งต่อชุดความคิดต่าง ๆ โดยไม่รื้อสร้างหรือพินิจถึงบริบทใหม่ ยิ่งกว่านั้นมิธเชลได้รับการยอมรับจากครูทั้งหลาย ทำให้เขากล้าใช้อำนาจในสถาบันนี้จนรู้สึกว่าสถาบันนี้เป็นที่ที่เขาจะกลั่นแกล้งหรือปฏิบัติกับใครอย่างไรก็ได้ และความเชื่อในการปฏิบัติต่อ ๆ กันมาและความเชื่อที่ว่าเขา (ผู้ชาวผิวขาว) ได้รับการยอมรับ ทำให้เขาปฏิบัติตนอย่างเลวร้ายกับลูซี่ (ผู้หญิงผิวดำ) ราวกับเป็นเรื่องปกติ

ฝั่งครูเองก็ปล่อยปละละเลยเพราะเห็นว่าการกลั่นแกล้งข่มขู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ซึ่งแม้เรื่องราวทั้งหมดจะเกิดขึ้นในโรงเรียน แต่ก็สามารถขยายไปสู่ภาพใหญ่ในระบบและผู้คนที่ปล่อยปละละเลย ปล่อยให้อันธพาลสามารถปฏิบัติเลวร้ายอย่างไม่สำนึกว่าเป็นความผิด ปล่อยให้การปฏิบัติกดขี่ข่มเหงกลายเป็นเรื่องธรรมดาทางวัฒนธรรมจนส่งต่อเป็นการผลิตซ้ำเด็กขี้แกล้งสไตล์หนุ่มอเมริกันฟุตบอลในภาพยนตร์อเมริกัน การปล่อยอันธพาลลงมือเพราะเชื่อว่าเป็นธรรมชาติส่วนบุคคลแบบที่วิเวียนเคยเข้าใจ ตลอดจากความนิ่งเฉยของสังคมและการอิงอยู่กับอำนาจของครู ซึ่งเป็นการยอมรับกลาย ๆ ในสิทธิ์ของการคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นมิธเชลหรือใครก็ตามในสังคมนี้

moxie

เมื่อการต่อต้านถูกสื่อสารด้วยเสียงกรีดร้อง

อีกฉากที่น่าสนใจคือ ฉากฝันของวิเวียน เธอฝันว่ากำลังหลงป่าใหญ่ เธอกำลังจะกรีดร้องออกมาแต่กลับพบว่าลำคอของเธอไม่สามารถเปล่งเสียงได้ ความฝันนี้เสมือนเธอในทีแรกที่ยังไม่สามารถเปล่งเสียงข้างในออกมาได้

จากเรื่องของลูซี่ที่อยู่ในหัวของวิเวียน ประกอบกับเธอพบว่าแม่ของเธอเคยเป็นหนึ่งในขบวนการสตรีนิยมสมัยวัยรุ่นและได้ทำสิ่งพิมพ์เผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับผู้หญิง เรื่องเหล่านี้เองขับเคลื่อนให้วิเวียนสร้างMoxie สิ่งพิมพ์ปริศนาไม่ระบุผู้เขียนที่ใช้วิธีการถ่ายเอกสารเข้าเล่มราคาถูกวางให้หยิบฟรีในห้องน้ำผู้หญิงเพื่อเผยแพร่ความคิดโต้กลับพวกมิธเชลที่มีอุดมการณ์ชายเป็นใหญ่ เช่น การตั้งฉายาให้ผู้หญิงโดยระบุไปที่อวัยวะต่าง ๆ หรือการที่คิดว่าตนจะสามารถกดขี่ผู้หญิงด้วยการกระทำต่าง ๆ ได้ ตั้งแต่ข่มขู่จนถึงข่มขืน ความรุนแรงของมิธเชลไม่เพียงตั้งคำถามกับความดีเลวส่วนตน แต่ยังเป็นคำถามต่อการยอมรับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมที่ผู้คนปล่อยให้เกิด

วิเวียนเริ่มขบวนการMoxie ด้วยปฏิบัติการต่อต้านชุดวิธีคิดที่กดขี่กักขังเสรีภาพ โดยเฉพาะกรณีที่มาจากร่างกายและเพศสภาพเช่น กรณีเพื่อนเพศหญิงที่มีหน้าอกในแบบที่พวกมิธเซลเรียกว่า เซ็กซี่ ใส่เสื้อกล้ามมาเรียน แต่กลับถูกครูไล่ให้ไปหาเสื้อคลุมมาใส่ทั้ง ๆ ที่มีผู้หญิงใส่เสื้อกล้ามอีกคนแต่ต่างสรีระกันทว่าก็ไม่เกิดปัญหาอะไร

ปฏิบัติการMoxie ร่วมรณรงค์เพื่อผู้หญิงไม่ว่าจะสรีระไหน เพื่อประท้วงการตัดสินคุณค่า และการระบุเรือนร่างที่ขึ้นอยู่กับสายตาเพศชาย เช่นที่พวกมิธเชลเคยจัดลำดับผู้หญิงจากสรีระก้นและหน้าอก การประกาศของ Moxie จึงทำให้เกิดการรื้อความคิดของความ “เซ็กซี่” และการจัดลำดับ “คุณค่า” ที่ฝั่งผู้ชายแบบมิธเชลเคยจัดไว้ ไม่เพียงเท่านั้น Moxieได้เดินทางไปสู่จุดที่เปิดโปงความชั่วร้ายของผู้ที่มิธเชลได้เคยข่มขืน ในทีแรกผู้ถูกข่มขืนไม่เปิดเผยตัวตน แต่พอเห็นว่ามีกลุ่มMoxie พวกเธอจึงวางกระดาษปริศนาไว้บริเวณเดียวกันกับที่วิเวียนวางสิ่งพิมพ์ Moxie หลังจากนั้นวิเวียนเปิดเผยตัวแสดงออกอย่างเต็มที่ ทิ้งสถานะนิรนามเพื่อให้ทุกคนกล้ายืนยันต่อสู้ไม่ว่าจะเสี่ยงแค่ไหน ทำให้ผู้ที่เคยถูกมิธเชลข่มขืนกล้าออกมาพูดความจริง

moxie

การเรียกร้องนี้ได้รับแรงกดดันจากโรงเรียน โดนขู่จะถูกพักการเรียน ถูกไล่ออก แต่ท้ายที่สุดนักเรียนทุกคนทั้งหญิงชายหรือจะมีเพศวิถีแบบใดแต่ตระหนักถึงปัญหานี้โดยเห็นปัญหาการกดขี่อันเชื่อมโยงกับเพศสภาพในท้ายที่สุดตอนจบของภาพยนตร์คือการที่นักเรียนที่ประสบปัญหาผลัดกันเล่าปัญหาของการถูกกดขี่จากระบบชายเป็นใหญ่ที่ไม่ใช่เพศสภาพของชายแต่คือวิธีคิดที่ล้าหลัง อนุรักษ์นิยม สืบทอดอำนาจทางความคิดและการมองตัดสินคุณค่าทางเพศ

เสียงกรีดร้องของ Moxie ที่ดังขึ้นทำให้ผู้คนในโรงเรียนเห็นปัญหาการกดขี่อันเกี่ยวเนื่องกับเพศสภาพมากขึ้น ที่น่าสนใจคือมีผู้ที่เคยถูกมิธเชลกระทำจนเธอพูดไม่ออกแต่เธอกล่าวได้แค่ว่า “ฉันอยากกรี๊ด” ชาวMoxie จึงบอกว่า “กรี๊ดเลย!”

แม้ตอนจบไม่มีเฉลยว่าขบวนการMoxie โดนไล่ออกหรือถูกพักการเรียนหรือไม่ แต่จบที่ฉากงานพรอมที่มีแต่พวกเธอที่สนับสนุนความเท่าเทียมและไม่ตัดสินคุณค่าจากร่างกาย แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าอย่างไร สถาบันจะไล่เธอออกหรือไม่พวกเธอก็เริ่มต้นโลกของพวกเธอเรียบร้อยแล้ว โลกที่มีแต่แสงสีและขบวนการต่อสู้ในงานปาร์ตี้สนุกสนานและยอมรับซึ่งกันและกัน

ฉากฝันช่วงท้าย วิเวียนหลงป่าใหญ่ แต่เธอสามารถกรี๊ดและตะโกนก้องป่าออกมาได้แล้ว

Fact File

  • สามารถรับชม Moxie ได้แล้ววันนี้ที่ NETFLIX

Author

อชิตพนธิ์ เพียรสุขประเสริฐ
มนุษย์ผู้ตกหลุมรักในการสร้างสรรค์ ภาพ เสียง แสง การเคลื่อนไหว นามธรรม และ การขีดเขียน