ตามกลิ่นประวัติศาสตร์ Shine ออริจินัลเกย์ซีรีส์เข้มข้นการเมืองไทย จากอะพอลโลสู่ด้านมืดดวงจันทร์ยุค จอมพลถนอม
Lite

ตามกลิ่นประวัติศาสตร์ Shine ออริจินัลเกย์ซีรีส์เข้มข้นการเมืองไทย จากอะพอลโลสู่ด้านมืดดวงจันทร์ยุค จอมพลถนอม

Focus
  • Shine ออริจินัลเกย์ซีรีส์จากค่าย Be On Cloud นำแสดงโดย อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์, มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง, สน-ยุกต์ ส่งไพศาล, ยูโร-ยศวรรธน์ ทะวาปี
  • Shine ถือได้ว่าก้าวข้ามจักรวาลซีรีส์วายชนิดรักหวานใส หรือ Coming of age ไปสู่การปักธงเป็น ซีรีส์เกย์ ที่ใส่ความเข้มข้นของบทที่มีการตั้งคำถามกับสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยปี พ.ศ. 2512 ยุคจอมพลถนอม กิตติขจร

กรุงเทพฯ ปี 2512 ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของประเทศ และเสรีภาพที่ถูกจำกัด คำพูดบางอย่างไม่อาจเอื้อนเอ่ย…

ถือเป็นอีกรสชาติของอุตสาหกรรมซีรีส์ไทยที่ไม่ลิ้มรสไม่ได้จริงๆ สำหรับ Shine ออริจินัลเกย์ซีรีส์จากค่าย Be On Cloud ที่พาย้อนบรรยากาศประเทศไทยไปใน พ.ศ. 2512 ขณะที่มนุษย์คนแรกของโลกเหยียบดวงจันทร์ ประเทศไทยมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในรอบ 11 ปี โดยที่ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมาพร้อมกับความคุกรุ่นของคลื่นใต้น้ำจากประชาชนและนักศึกษา

Shine

ซีรีส์ Shine ถือได้ว่าก้าวข้ามจักรวาลซีรีส์วายชนิดรักหวานใส หรือ Coming of age ไปสู่การปักธงเป็น ซีรีส์เกย์ ที่ใส่ความเข้มข้นของบทที่มีการตั้งคำถามกับสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยปี พ.ศ. 2512 ยุคจอมพลถนอม กิตติขจร ที่ไม่ค่อยมีซีรีส์หรือภาพยนตร์กล่าวถึง แต่ในมุมมองของทีมผู้เขียนบทอย่าง ครูบัว-ผศ.ดร.ปริดา มโนมัยพิบูลย์  และ ครูหนิง-ผศ.ดร.พันพัสสา ธูปเทียน กลับมองว่า พ.ศ. 2512 นี่แหละคือยุคที่ประเทศไทยมีความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น ดนตรี วรรณกรรม หนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์ อีกทั้งเป็นยุคที่ผู้คนเริ่มเปิดใจมองเรื่องความแตกต่างแม้กระทั่งเรื่องเพศ

Shine

“จริงๆ แล้ว Shine เป็นโปรเจ็กต์ที่ต่อจาก แมนสรวง ตอนแรกทางทีมตั้งใจจะทำซีรีส์ที่มีช่วงเวลาต่อจากแมนสรวงคือหลังรัชกาลที่ 4 มีการเขียนบท พัฒนบทกันแล้วด้วย แต่สุดท้ายเรารู้สึกว่ามันยังไม่สากลพอที่จะพาผู้ชมชาวต่างชาติให้เข้าใจ อย่างถ้าย้อนกลับไปเรื่องแมนสรวง เราก็ยังรู้สึกว่าก็ยังไกลสำหรับความสากลที่ต่างชาติจะเข้าใจได้ง่าย เลยมีการปรับบท เรียกว่าทำบทใหม่เลยก็ได้ ทางทีมกลับมาคิดว่าเราจะเอายุคไหนดีที่มีความเป็นสากลมากขึ้น เลยมาลงตัวที่ช่วง พ.ศ.2512 เป็นปีที่มนุษย์เหยียบดวงจันทร์ มันเหมือนกับการเปิดอีราใหม่ของมนุษย์โลก แต่ในอีกมุมมันก็ยังมีสงครามเย็นนะ โลกมันไม่ได้สดใส กลับมาที่เมืองไทยปี 2512 เป็นปีที่จอมพลถนอมได้รับการเลือกตั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความคุกรุ่นตามมา”

(จากซ้าย) ครูบัว-ผศ.ดร.ปริดา มโนมัยพิบูลย์  และ ครูหนิง-ผศ.ดร.พันพัสสา ธูปเทียน

ครูบัว-ผศ.ดร.ปริดา มโนมัยพิบูลย์ ผู้เขียนบท Shine ย้อนเล่าถึงรอยต่อระหว่าง Shine กับ แมนสรวง ผลงานภาพยนตร์ปฐมฤกษ์จาก Be On Cloud ที่เปิดประตูบานใหญ่ส่งค่าย Be On Cloud สู่ตลาดต่างประเทศกับเรื่องราวของความอยุติธรรม นาฏกรรม อำนาจ และชนชั้นการละคร โดยความสากลของ Shine ไม่ใช่แค่ฉากมนุษย์เหยียบดวงจันทร์ แต่ยังเป็นประเด็นการต่อสู้ทางสังคม ชนชั้น การเมือง และเรื่องเพศที่เป็นกระแสอยู่ทั่วโลกในขณะนั้น รวมทั้งการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างตะวันตกและตะวันออก ทั้งเสื้อผ้า ดนตรี ภาพยนตร์ อาคารบ้านเรือน หรือแนวคิดด้านสังคมที่คลับคล้ายกันในหลายๆ มุมของโลก

“ในเชิงการเล่ามันท้าทายมาก เราไม่ได้อยากทำแค่เรื่องความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรัก ความสุข ความท้าทายอยู่ตรงที่เราจะสอดแทรกความเป็นจริงบางอย่างเข้าไปในซีรีส์ได้อย่างไร การทำให้คนดูสามารถเอนจอยได้หลายเลเยอร์ ทำอย่างไรไม่ให้เครียดเกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ตื้นเขินจนเกินไป แน่นอนว่าผู้ชมหลักเราคือสาววาย เขาก็อยากได้อะไรที่เอนจอยสนุกสนาน แต่สิ่งที่เกินคาดคือ กลุ่มสาววายที่เขาดูเขาตระหนักถึงเลเยอร์ของประเด็นที่ลึกลงไป เราตามไปดูฟีดแบ็คพบว่าสิ่งที่แฟนๆ พูดถึงไม่น้อยกว่านักแสดงที่เขาชื่นชอบคือนัยยะทางสังคมและการเมืองที่เขาแคปเจอร์ได้ละเอียดและลึกซึ้งมาก ดีใจที่มันทำงานแบบนั้น เพราะเราตั้งใจทำให้เรื่องนี้เป็นงานที่ร่วมสมัยด้วยคอนเทนต์”

ครูหนิง-ผศ.ดร.พันพัสสา ธูปเทียน ผู้กำกับหญิงมากฝีมือที่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการเขียนบท Shine เสริมถึงความท้าทายของซีรีส์ที่มีความเข้มข้นทางการเมืองแบบที่ไม่มากไป ไม่น้อยไป และสามารถสร้างจุดร่วมให้กับผู้ชมทั้งไทยและต่างชาติให้สนุกไปกับ Shine ได้

Sarakadee Lite ชวนไปตามกลิ่นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงช่วง พ.ศ. 2512 จากซีรีส์ Shine ที่กำลังเข้มข้นขึ้นทุกตอน ไม่ว่าจะเป็นการกำเนิดสภาพัฒน์ การเลือกตั้งครั้งแรกหลังจากยุคเผด็จการ ภารกิจส่งนางงามไทยไปจักรวาล ความอัดอั้นของกลุ่มปัญญาชน การตั้งคำถามกับประชาธิปไตยที่ได้รับ ไปจนถึงความเฟื่องฟูของนวนิยายพาฝันในห้องสมุดคีตกาล บอกเลยว่านี่เป็นการดูซีรีส์ที่เหมือนได้กลับไปเปิดหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองไทยอีกครั้ง แต่ถึงใครจะไม่อินกับประวัติศาสตร์ก็สามารถสนุกกับ Shine ได้เช่นกัน

ภาพ : NASA

“มนุษย์เหยียบดวงจันทร์” ชัยชนะของเสรีนิยม

Shine เปิดเรื่องมาด้วยเหตุการณ์ประวัติศาสตร์โลกในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ตรงกับวันที่ยานอะพอลโล 11 นำมนุษย์จากดาวโลกขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรกโดยมี นีล อาร์มสตรอง (Neil Armstrong) เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้เหยียบประทับรอยเท้าลงบนดวงจันทร์ พร้อมกับกล่าวประโยคสุดคลาสสิกว่า “ก้าวเล็ก ๆ ของคน ๆ หนึ่ง แต่เป็นก้าวอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ” (That’s one small step for a man, one giant leap for mankind) พร้อมตัดสลับภาพมาที่ดวงตาอันเปล่งประกายของผู้คนบนโลกในอีกมุมหนึ่งที่แสงดวงจันทร์อาจจะยังส่องแสงลงมาไม่ถึง ณ ประเทศไทยภายใต้รัฐบาลยุค จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่ง ครูบัว-ผศ.ดร.ปริดา มโนมัยพิบูลย์ ทีมเขียนบทกล่าวว่า การตั้งใจใส่ซีนยานอะพอลโล 11 ลงไปไม่ใช่แค่การบันทึกประวัติศาสตร์สำคัญที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2512 แต่ยังเป็นจุดเริ่มของการเปิดยุคใหม่ของมนุษยชาติ

ภาพ : NASA

“เมื่อมนุษย์คนหนึ่งสามารถไปเหยียบดวงจันทร์ มันไม่ได้จบแค่นั่น คนที่อยู่บนพื้นโลกที่กำลังเฝ้ามองเหตุการณ์นี้ไปพร้อมๆ กันกลับเต็มไปด้วยความฮึกเฮิม ทุกอย่างดูสดใส มีกำลังใจ ซึ่งตอนนั้นตรงกับช่วงสงครามเย็น เหตุการณ์นี้จึงคล้ายการประกาศชัยชนะของฝั่งเสรีนิยมอย่างอเมริกาว่า ‘ฉันเหยียบดวงจันทร์ก่อนนะ’ ทว่าในความสดใสนั้นกลับมีอีกมุมหนึ่งที่มันกำลังมีความครุกรุ่น เป็นอีกด้านของดวงจันทร์ที่ยังมีเงามืด”

จอมพลถนอม กิตติขจร

“เลือกตั้งในรอบ 11 ปี” จอมพลถนอม กิตติขจร ขึ้นสู่อำนาจ

ซีรีส์ Shine  เดินเรื่องในช่วง พ.ศ. 2512-2513 ขณะที่ประเทศไทยมี จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยย้อนไปเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ถือเป็นวันที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคนั้น เพราะเป็นวันเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย หลังจากที่ประเทศไทยว่างเว้นการเลือกตั้งมายาวนานถึง 11 ปีเต็ม ครั้งนั้นมี 2 พรรคการเมืองใหญ่ลงสนามแข่งขัน คือ พรรคสหประชาไทย มี จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นหัวหน้าพรรค และ และพรรคประชาธิปัตย์ มี หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค ท้ายที่สุดพรรคสหประชาไทยได้รับเลือกตั้ง จอมพลถนอม กิตติขจร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแม้จะมีข้อครหาเรื่องการทุจริตในการเลือกตั้งตามมามากมายก็ตาม

“ความน่าสนใจของ พ.ศ.2512 คือเป็นยุคที่คนไทยเริ่มมองเห็นความหวัง แม้จะเป็นความหวังที่ปลายอุโมงค์ว่าเราจะมีประชาธิปไตยหลังจากถูกปกครองโดยเผด็จการทหารมาอย่างยาวนานในยุค จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แม้การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นใน พ.ศ.2512 จะมาจากความกดดันจากประเทศรอบข้างและมหาอำนาจ แต่อย่างน้อยก็เป็นความหวังที่มองเห็นแสงว่าเราจะมีประชาธิปไตย เราจะมีรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องราวในซีรีส์จะเริ่มหลังจากนั้นเมื่อประชาชน นักศึกษา เริ่มตระหนักและตั้งคำถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นประชาธิปไตยจริงหรือ” ครูหนิง-ผศ.ดร.พันพัสสา เล่าถึงความน่าสนใจของเมืองไทยในยุคจอมพลถนอม กิตติขจร ที่เป็นฉากหลังของเรื่อง

ด้าน ครูบัว-ผศ.ดร.ปริดา กล่าวเสริมว่านอกจากฉากหลังทางการเมืองแล้วในยุคนี้ประเทศไทยยังมีความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นเพลง วรรณกรรม แฟชั่น การผสมผสานระหว่างตะวันตกและตะวันออก  “อย่างเรื่องวรรณกรรมที่เราใส่ลงไป นิยาย หนังสือเพื่อชีวิต การเสพคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ หรือจิตวิญญาณของนักหนังสือพิมพ์มันเข้มข้นมากในยุคนั้น เรารู้สึกว่ามันน่าเล่า ยิ่งมาผูกกับบรรยากาศของความโรแมนซ์ด้วยมันก็จะยิ่งโรแมนติก…มันสามารถโรแมนติกได้ แต่ก็ยังต้องมีการต่อสู้ทางชนชั้นและการเมืองที่คู่ขนานไป”

“เทรนด์ฮิปปี้” บุปผาชนที่จอมพลถนอมต่อต้าน

กระแสฮิปปี้เกิดในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ในภาวะสงครามเย็น และแพร่หลายในหมู่นักศึกษาอเมริกัน โดยฮิปปี้จะมีการเปิดมุมมองเรื่องเพศที่กว้างขึ้น พร้อมภาพจำคือ เสพกัญชา ใช้ชีวิตเสรีไร้ระเบียบ ฟังเพลงร็อก ซึ่งกระแสนี้ได้แพร่หลายไปในหมู่นักศึกษาทั่วโลกรวมทั้งไทยซึ่งเรียกฮิปปี้ว่า “บุปผาชน” ซึ่งมักแสดงออกผ่าน 5 ย. คือ ไว้ผมยาว สะพายย่าม สวมกางเกงยีน เสื้อยืด และใส่รองเท้าแตะ ซึ่งในเรื่อง “ธันวา” (รับบทโดย มาย – ภาคภูมิ ร่มไทรทอง)  คือความแตกต่างของสังคมที่หลายคนเรียกเขาว่าฮิปปี้ และไม่ใช่เพียงพ่อของเขาที่ไม่ชอบใจ แม้แต่จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นผู้นำในยุคนั้นก็มีการต่อต้านกลุ่มฮิปปี้อย่างชัดเจนถึงขั้นที่ไม่ยอมออกวีซ่าให้ฮิปปี้เข้าเมืองจนเป็นข่าวฮือฮามาแล้ว ทั้งที่ความจริงแล้วฮิปปี้อาจเข้าใจถึงความอยุติธรรม ผู้คน และสังคมได้เป็นดีกว่านักวิชาการ

นอกจากฮิปปี้แล้วในยุคนั้นยังมีกระแส “ร็อกแอนด์โรลล์” ที่มีอิทธิพลต่อทั้งเพลงและแฟชั่น โดยผู้หญิงนิยมใส่มินิสเกิร์ต ผู้ชายนิยมสวมเสื้อลายทางและกางเกงรัดรูป ความนิยมนี้ทำให้ใน พ.ศ. 2512 จอมพลถนอมได้ออกมาตำหนิผู้ที่สวมกระโปรงสั้นแบบมินิสเกิร์ต รวมทั้งยังสั่งให้สภาวัฒนธรรมห้ามผู้สวมกระโปรงสั้นและกางเกงรัดรูปเข้าสถานที่ราชการ รวมถึงสถานศึกษา

“ก่อตั้งสภาพัฒนฯ” เพิ่มมิติทางสังคมในการพัฒนาชาติ

“ดร.ตฤณ สุวรรณภาสน์” (รับบทโดย อาโป – ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์) นักเรียนทุนด้านเศรษฐศาตร์จากฝรั่งเศสที่เชื่อในการพัฒนาชาติผ่านการวางโครงสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแรง เขาเลือกปฏิเสธหน้าที่การงานในแบงค์ชาติมาเริ่มงานที่ “สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ” หรือ สภาพัฒน์ ซึ่งปัจจุบันก็คือ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดย ครูบัว-ผศ.ดร.ปริดา กล่าวถึงบทบาทของ ดร.ตฤณ ว่าหากย้อนไปในยุคการเริ่มก่อตั้งสภาพัฒน์ หน่วยงานนี้เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมหัวกะทิอันดับต้นของประเทศเลยก็ว่าได้ เหล่านักเรียนนอกจบใหม่ไฟแรงที่ต้องการพัฒนาชาติตามแนวทางที่ได้ร่ำเรียนมาจากตะวันตกต่างก็มารวมตัวอยู่ที่นี่รวมทั้งตฤณ

สำหรับการเกิดขึ้นของ สภาพัฒน์ มีพื้นฐานมาจาก “สภาเศรษฐกิจแห่งชาติ” ยุครัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม พอมาในยุคจอมพลสฤษดิ์ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ” ทำหน้าที่จัดทำแผนพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 หรือที่เรียกกันว่า “แผน 1” เป็นเหมือนพิมพ์เขียวในการพัฒนาประเทศระยะ 6 ปี (พ.ศ.2501-2509) ต่อมาเพิ่มชื่อแผนเป็น “แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ลดระยะเวลาใช้งานเหลือ 4 ปี ในฉบับที่ 2 (ปี 2510-2514) พร้อมกับเพิ่มมิติทางสังคมเข้าไปให้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชาติ ซึ่งมิติทางสังคมนี้เองเป็นหัวใจสำคัญที่ ดร.ตฤณ พยายามผลักดันและหวังที่จะใช้การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจแก้ปัญหาชาติ

“ตื่นเถิดเสรีชน” การก่อตัวของขบวนการนักศึกษา

ช่วงทศวรรษ 2500 และ 2510 มีการตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ในกรุงเทพฯ และภูมิภาคหลายแห่ง อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นต้น ทำให้สถาบันระดับอุดมศึกษาเริ่มกระจายตัวไปยังหัวเมืองสำคัญทั่วประเทศ ก่อให้เกิดการตื่นตัวทางความคิดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักศึกษาเป็นเหมือนผู้นำทางความคิด เป็นผู้ที่ตั้งคำถามกับเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะการตื่นตัวทางการเมืองของ “ขบวนการนักศึกษา” หลังตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการมายาวนานนับทศวรรษ

“ค่ายอาสาพัฒนาชนบท” เรียนรู้ความจริงของสังคมผ่านค่าย

ในซีรีส์เราจะเห็นบทบาทของตัวละคร “วิกเตอร์” (รับบทโดย ปีเตอร์​ เดรี่ย์) นักศึกษาลูกครึ่งผู้มีความตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น ซึ่งนอกจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างลับๆ แล้ว วิกเตอร์ยังเป็นหนึ่งในนักกิจกรรมของชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทซึ่งนั่นทำให้เขาได้เรียนรู้และเข้าใจปัญหาของสังคมยิ่งขึ้น ซึ่งตามประวัติศาสตร์มีหลักฐานว่ากิจกรรม “ค่ายอาสาพัฒนาชนบท” เริ่มขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ช่วง พ.ศ. 2510 ภายหลังยังมีการก่อตั้ง “ชุมนุมค่ายอาสาพัฒนาชนบท” โดยการออกค่ายอาสาทำให้นักศึกษาได้เปิดหูเปิดตาเรียนรู้สภาพความเป็นจริงของสังคมไทยในชนบทซึ่งยังคงแร้นแค้นและยากลำบาก ส่วนค่ายที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้นคือค่ายของมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปในชนบท

Shine

“นางสาวไทยสู่จักรวาล” ต่อยอดปรากฏการณ์อาภัสรา

อีกฉากที่เชอร์ไพรส์ผู้ชมคือการปรากฎตัวของ “ออน-สมฤทัย” เจ้าของวลีฮิต “Thank you Kateyki” ซึ่งมารับเชิญในบทของนาวสาวไทย ที่กำลังเตรียมตัวไปประกวดนางงามจักรวาล โดยก่อนหน้านั้นใน พ.ศ. 2508 โลกรู้จักประเทศไทยจากหญิงสาวที่ชื่อ อาภัสรา หงสกุล นางสาวไทยคนแรกจากประเทศไทยที่เข้าร่วมการประกวดบนเวทีโลก นั่นก็คือ เวทีนางงามจักรวาล หรือ Miss Universe โดยในครั้งนั้น “อาภัสรา หงสกุล” สามารถคว้ารางวัลความงามแห่งจักราลนี้มาครองได้ จนเกิดปรากฏการณ์อาภัสราทั้งในไทยและทั่วโลก แม้แต่ซิ่นสันกำแพงที่อาภัสราใส่ประกวดก็ขายดิบขายดีจนสร้างรายได้ให้ชุมชนเพียงข้ามคืน ทำให้ไทยเริ่มเล็งเห็นแล้วว่าเวทีนางงามจักรวาลไม่ใช่แค่เวทีความงามแต่ยังเป็นเครื่องมือทางการทูตที่ประชาสัมพันธ์ประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใน พ.ศ. 2512 ไทยส่ง “แสงเดือน แม้นวงศ์” สู่เวทีการประกวดนางงามจักรวาล พร้อมคว้ารางวัลชุดแต่งกายประจำชาติยอดเยี่ยมกลับประเทศ

Shine

“โรงหนังสแตนด์อโลน” แหล่งบันเทิงของชาวพระนคร

ในอดีตโรงภาพยนตร์จะสร้างเป็นโรงเดี่ยวที่เรียกว่าโรงหนังสแตนด์อโลน (stand alone) ฉายหนังไทยและต่างชาติ ถือเป็นแหล่งบันเทิงยอดนิยมของชาวพระนคร และขยายไปสู่เมืองเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ โรงภาพยนตร์ที่โด่งดังในช่วงนั้นได้แก่ โรงหนังเฉลิมเขตร์ ย่านสะพานยศเส, โรงหนังโคลีเซียม ย่านราชเทวี, โรงหนังเมโทร ย่านประตูน้ำ ส่วนใจกลางเมืองมี สยาม, ลิโด และ สกาลา โดยเฉพาะสกาลานั้นสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2512 จัดฉายภาพยนตร์จากฮอลลีวูดเป็นหลัก

ส่วน ศาลาเฉลิมกรุง ที่ปรากฎในซีรีส์ Shine ก่อตั้งใน พ.ศ. 2476 เป็นโรงมหรสพแห่งแรกในเอเชียที่ติดเครื่องปรับอากาศซึ่งถือเป็นสิ่งทันสมัยของยุคนั้น เครื่องปรับอากาศที่นำมาใช้เป็นระบบ Chilled Water System หรือระบบไอน้ำรุ่นแรกจากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังเด่นด้านการออกแบบและก่อสร้าง ด้วยโครงสร้างที่มั่นคงแข็งแรงและรูปแบบของอาคารที่มีความเป็นสากลทันสมัย ทรงสี่เหลี่ยมสูงตระหง่านแบบตะวันตก แต่ก็ยังคงผสมผสานความประณีต ละเอียดอ่อนของศิลปกรรมไทยไว้ภายใน ถือเป็นโรงมหรสพที่เก่าแก่ที่สุดในไทย

Shine

“งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” หญิงไทยเริ่มทำงานนอกบ้าน

“ทั้งวันเราทำงาน งามสง่าน่าพิศมัย…”  ฉากที่ นุ่ม  (รับบทโดย ปาน – ธนพร แวกประยูร) แม่ของวิกเตอร์ ร้องเพลงขณะทำงานอย่างมีความสุขยามค่ำคืนนั้น ฟังเผินๆ อาจจะเป็นแค่การฮัมเพลงเพลินๆ แต่เนื้อเพลงที่เอ่ยออกมากลับมามีเนื้อหาตรงกับคำขวัญของท่านผู้นำคือ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้า (ในซีรีส์นายกรัฐมนตรีคือ จอมพลถนอม กิตติขจร) ซึ่งจอมพล สฤษดิ์ ซึ่งมีคำขวัญประจำที่ถูกโหมประชาสัมพันธ์ในยุคนั้นก็คือ “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” คำขวัญนี้มักพบเห็นได้ตามกันสาดหน้าร้านค้า ไปจนถึงตั้งเป็นป้ายประกาศตามที่ชุมนุมชน สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของรัฐบาลที่เร่งพัฒนาเศรษฐกิจและชาติจนถึงขั้นก่อตั้ง “กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติขึ้น” ใน พ.ศ. 2506

Shine

“สื่อถูกควบคุม” สั่งปิดหนังสือพิมพ์ นักข่าวติดคุก

ใน Shine เราจะเห็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและสื่อมวลชนผ่านตัวละคร ไกรเลิศ (รับบทโดย สน – ยุกต์ ส่งไพศาล) นายทหารหนุ่มอนาคตไกล และ ณรัน (รับบทโดย ยูโร – ยศวรรธน์ ทะวาปี) นักข่าวสยามเดลีเมล์ ผู้พร้อมทำหน้าที่ “หมาเฝ้าบ้าน” ซึ่งความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและสื่อมวลชนรุนแรงมาตั้งแต่ก่อนยุคจอมพลถนอม เช่นในช่วงหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารเริ่มประกาศ “เซนเซอร์” หนังสือพิมพ์ พร้อมให้เจ้าของหนังสือพิมพ์ต้องนำต้นเรื่องมาให้คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารตรวจอนุญาตก่อนจึงจัดพิมพ์ได้

Shine

ต่อมาช่วงปี 2495 ถูกเรียกว่ายุค “แท่นพิมพ์ถูกล่ามโซ่” เรื่อยมาถึงยุคเผด็จกาจอมพลสฤษดิ์ หนังสือพิมพ์ใดนำเสนอข่าวที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจรัฐจะถูกสั่งปิดและยึดโรงพิมพ์ หรืออย่างเหตุการณ์ทหารยกพวกบุกทุบแท่นพิมพ์ หรือถึงขั้นเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงพิมพ์โดยไม่ทราบสาเหตุก็เคยมีมาแล้ว และก็เคยมีนักหนังสือพิมพ์ที่ถูกจับกุมขังคุก เช่น อิศรา อมันตกุล หัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ ซึ่งต่อมาคือ นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย

ส่วนในยุคจอมพลถนอมซึ่งเป็นช่วงเวลาในซีรีส์นั้น จอมพลประภาสผู้เป็นทั้งมือขวาและสหายรักของนายกรัฐมนตรีคือ จอมพลถนอม ถึงขั้นเคยกล่าวถึงสื่อไว้ว่า “ถ้าเราให้เสรีภาพเต็มที่แก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสื่อ มันก็เหมือนกับการขายสินค้าทอดตลาด และคะแนนเสียงก็จะตกอยู่กับผู้ให้ราคาสูงสุด”

Shine

“ยุคบูมของนิยายพาฝัน” ที่หาญหยอกเย้าสังคม

หลังการทำรัฐประหารโดยจอมพลสฤษดิ์ในปี 2501 มีการปิดหนังสือพิมพ์และออกคำสั่งเรื่อง “สิ่งพิมพ์ต้องห้าม” ซึ่งทำให้งานเขียนแนวก้าวหน้ากลายเป็นหนังสือต้องห้าม หรือไม่มีใครกล้าพิมพ์เนื้อหาที่มีความสุ่มเสี่ยง ทำให้นิยายพาฝันเริ่มผลิบาน ทว่าก็มีการสอดแทรกสะท้อนสังคมลงไปในเนื้อหาพาฝันด้วย โดยนักเขียนผู้มีชื่อเสียงในยุคนั้นได้แก่ กุหลาบ สายประดิษฐ์, เสนีย์ เสาวพงศ์, อัศนี พลจันทร

Shine

ครูบัว-ผศ.ดร.ปริดา ทีมเขียนบทได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่าความเฟื่องฟูของวรรณกรรม การเกิดขึ้นของนักเขียนอย่างมากมายในยุคนี้ก็อาจจะไม่ได้สวยงามเหมือนอย่างเนื้อหา แต่อาจจะเป็นการระเบิดออกมาจากการกดทับทางความคิดต่างๆ เช่น “ปีศาจ” ของเสนีย์ เสาวพงศ์ ที่โด่งดังอย่างมากในยุคนั้น

ในซีรีส์ความเฟื่องฟูของงานวรรณกรรมทั้งฝั่งนักเขียนและหนักอ่านถูกหยิบมาเป็นความโรแมนติกของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ที่ไกรเลิศกับณรันเขียนโต้ตอบกันโดยมีแฟนนักอ่านติดตามเป็นจำนวนมาก หรือจะเป็นฉากในห้องสมุดคีตกาลที่ทางทีมเขียนบทได้หยิบวรรณกรรมไทยที่มีอยู่จริงในยุคนั้นมาเป็นบทโต้ตอบสุดโรแมนซ์ระหว่างไกรเลิศกับณรัน ไม่ว่าจะเป็น เพื่อคุณคนเดียว ของ ทัศนารถ, รอยมลมิน ของบุษยมาส, รักต้องห้าม ของ สุภาว์ เทวกุล และ ดั่งความฝัน ของ ส.อินทรสุขศรี เป็นต้น

อ้างอิง

  • นิตยสารสารคดีฉบับ ตุลาคม 2556 และ เมษายน 2564
  • การสัมภาษณ์ ครูบัว-ผศ.ดร.ปริดา มโนมัยพิบูลย์  และ ครูหนิง-ผศ.ดร.พันพัสสา ธูปเทียน

 Fact File

  • Shine ออริจินัลเกย์ซีรีส์จากค่าย Be On Cloud รับชมได้ทาง WeTV และช่อง 7HD

Author

ศรัณยู นกแก้ว
Editor ที่ผ่านทั้งงานหนังสือพิมพ์ พ็อกเก็ตบุ๊ค และนิตยสาร ปัจจุบันยังคงสมัครใจเป็นแรงงานด้านการผลิตคอนเทนต์