10 ผลงานไฮไลต์ใน Dib Bangkok พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยนานาชาติแห่งแรกของกรุงเทพฯ
- Dib Bangkok (ดิบ บางกอก) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยนานาชาติแห่งแรกของกรุงเทพฯ บนพื้นที่ที่เคยเป็นอาคารโกดังเหล็กเก่าในช่วงทศวรรษ 1980 และครอบคลุมพื้นที่กว่า 7,000 ตารางเมตร
- คอลเลกชันถาวรของพิพิธภัณฑ์เป็นผลงานสะสมของ เพชร โอสถานุเคราะห์ ผู้ก่อตั้งและประกอบด้วยผลงานกว่า 1,000 ชิ้นโดยศิลปินทั่วโลกกว่า 200 คน
- นิทรรศการแรกคือ ล่อง(ไม่)หน (In)visible Presence นำเสนอผลงาน 80 ชิ้นจาก 40 ศิลปิน ที่สำรวจการรับรู้สิ่งที่เกินกว่าสายตามองเห็น
เป็นเวลาร่วม 30 ปีที่ เพชร โอสถานุเคราะห์ (พ.ศ. 2497-2566) นักสะสมงานศิลปะและผู้มีคุณูปการต่อวงการศิลปะร่วมสมัยของไทย ต้องการสร้างพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยในระดับสากลโดยถึงกับขายบิ๊กล็อตหุ้นโอสถสภาของธุรกิจครอบครัวที่เขาถือครองเพื่อนำเงินมาทำความฝันให้เป็นจริง แต่เจตนารมณ์ของเขาเป็นจริงภายหลังการเสียชีวิต 2 ปีกว่ากับการเปิด Dib Bangkok หรือ ดิบ บางกอก พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยนานาชาติแห่งแรกของกรุงเทพฯ


จากไอเดียแรกๆ ที่เพชรเคยเรียกว่า O Museum พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทั้งสถานที่ตั้งและบริษัทออกแบบมาแล้วหลายครั้ง ในที่สุดพิพิธภัณฑ์ถือกำเนิดด้วยชื่อ “Dib” หรือ “ดิบ” ที่หมายถึงความดั้งเดิมที่ไม่ปรุงแต่ง บนพื้นที่ที่เคยเป็นอาคารโกดังเหล็กเก่าที่สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 ก่อนได้รับการปรับปรุงและออกแบบใหม่โดย WHY Architecture ด้วยความร่วมมือกับ A49 และสถานที่ตั้งอยู่ใกล้กับที่ตั้งเดิมของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตกล้วยน้ำไท ซึ่งก่อตั้งโดยครอบครัวโอสถานุเคราะห์

“ปีนี้เข้าปีที่ 3 ที่พ่อเสีย ผมได้รับมรดกความฝันจากพ่อและความหลงใหลในศิลปะร่วมสมัย ภารกิจของเราคือการอนุรักษ์สมบัติเชิงศิลปวัฒนธรรมและนำศิลปะร่วมสมัยให้คนทั่วไปเข้าถึงและเอนจอยได้ตามความสนใจของแต่ละคน กรุงเทพฯ มีห้างพอแล้ว คนไทยโตมากับห้าง เราจึงอยากเป็นอีกออปชันหนึ่งที่คนสามารถสลับโหมดเอนจอยงานศิลปะได้แม้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและรายล้อมไปด้วยแสงสีเสียงและความชุลมุน” ภูรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ประธานผู้ก่อตั้งและบุตรชายของเพชรผู้สานต่อปณิธานของพ่อกล่าว

คอลเลกชันถาวรของ Dib Bangkok ที่ทางทีมบริหารเน้นย้ำว่าที่นี่เป็น “พิพิธภัณฑ์” ไม่ใช่ “อาร์ตแกลเลอรี” เป็นคอลเลกชันสะสมของเพชรซึ่งประกอบด้วยผลงานกว่า 1,000 ชิ้นโดยศิลปินทั่วโลกกว่า 200 คนด้วยสื่อศิลปะหลากหลายตั้งแต่ทศวรรษ 1960 จนถึงปัจจุบัน เพชรผู้เป็นที่รู้จักในฐานะนักร้อง นักดนตรี และนักธุรกิจ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสะสมระดับต้นๆ ที่มีผลงานของศิลปินไทยร่วมสมัยในยุค 80s-90s มากที่สุดในช่วงเวลาที่ศิลปินไทยเริ่มบุกเวทีศิลปะนานาชาติ และงานศิลปะแนวศิลปะจัดวาง (installation art) และศิลปะเชิงความคิด (conceptual art) ยังเป็นสิ่งใหม่มากสำหรับคนไทยในเวลานั้น เช่น ผลงานของ มณเฑียร บุญมา, อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล, สุรสีห์ กุศลวงศ์ และ นาวิน ลาวัลย์ชัยกุล

“เราอยากสร้างองค์กรให้เป็นระดับสากล เรามีทีมอนุรักษ์ หรือ collection management เพราะภารกิจเราคืออนุรักษ์สมบัติศิลปวัฒนธรรมและสะสมงาน เพราะต้องการสนับสนุนศิลปินที่ยังมีชีวิตอยู่ให้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะเพื่อสืบทอดยังรุ่นต่อไป ผมไม่เคยสร้างพิพิธภัณฑ์ เมืองไทยไม่เคยมีสถาบันเช่นนี้มาก่อน แน่นอนไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แต่เราจะพยายามทำให้ดีที่สุด บอกเลยว่าทำอย่างไรก็ไม่กำไรหรอก เพราะพิพิธภัณฑ์ไม่ขายงาน หรือถ้ามีกำไรผมจะตกใจเป็นคนแรกและตายตาหลับได้เลย และสัญญาว่าหากมีกำไรจะเอามาใช้สนับสนุนโปรเจกต์ศิลปะ 100 เปอร์เซ็นต์” ภูรัตน์กล่าว

พิพิธภัณฑ์ประกอบด้วยห้องจัดแสดง 11 ห้องในอาคาร 3 ชั้นรวมพื้นที่กว่า 7,000 ตารางเมตร ลานกว้างตรงกลางหรือคอร์ตยาร์ดขนาด 1,400 ตารางเมตร และสวนประติมากรรมกลางแจ้ง และเปิดตัวด้วยนิทรรศการชื่อ ล่อง(ไม่)หน (In)visible Presence นำเสนอผลงานสำคัญจากคอลเลกชันของพิพิธภัณฑ์ในธีมที่กล่าวถึงการรับรู้และความสำคัญของสิ่งที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาและเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังวัสดุโดยส่วนหนึ่งเพื่อยกย่องและรำลึกถึง เพชร ผู้ที่จากไปแล้ว แต่ได้วางรากฐานให้ก่อเกิดสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา

Sarakadee Lite ชวนทัวร์ศิลปะกับ 10 ผลงานไฮไลต์ที่จัดแสดงใน Dib Bangkok ทั้งผลงานที่สร้างสรรค์เฉพาะพื้นที่สำหรับที่นี่ และผลงานในนิทรรศการ ล่อง(ไม่)หน (In)visible Presence ที่นำเสนอผลงาน 80 ชิ้นจาก 40 ศิลปิน และจัดแสดงถึงวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2569

กาลเวลาและสสารกับมนุษย์ตัวจิ๋วในจักรวาล
“Pars pro Toto “
ศิลปิน : อลิเชีย ควาเด
เมื่อก้าวเข้าสู่ Dib Bangkok สิ่งแรกที่ปะทะสายตาผู้ชมคือลานกลางแจ้งที่จัดแสดงลูกบอลหินทรงกลมทำจากหินธรรมชาติขนาดใหญ่จำนวน 11 ลูกขนาดลดหลั่นกันด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 70-250 เซนติเมตร ผลงานของ อลิเชีย ควาเด (Alicja Kwade) ชื่อ “Pars pro Toto” (2020)ชิ้นนี้ชักชวนให้ผู้ชมเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับชิ้นงานและเมื่อพิจารณาพื้นผิวของหินจะเห็นการก่อตัวเป็นชั้นๆ ของหินที่อัดแน่นผ่านกาลเวลามาหลายพันล้านปี
ศิลปินจัดวางหินให้เหมือนระบบสุริยะย่อส่วนเพื่อสื่อถึงเรื่องเวลาของอดีตอันยาวนานที่จับต้องไม่ได้แต่บันทึกเป็นหลักฐานทางกายภาพผ่านขนาดและความหนักของหินแต่ละก้อนได้ คำว่า “Pars pro Toto” ในภาษาละติน หมายถึง “ส่วนหนึ่งแทนทั้งหมด” สะท้อนตั้งแต่ระดับอะตอมไปจนถึงระบบสุริยะและโครงสร้างของจักรวาลโดยการดำรงอยู่ของปัจเจกบุคคลถูกนำมาเปรียบเทียบกับขนาดอันมหาศาลของกาลเวลาและสสาร

แสง สี เวลา : ท้องฟ้าและการตระหนักรู้
“Straight up”
ศิลปิน : เจมส์ เทอร์เรลล์
เจมส์ เทอร์เรลล์ (James Turrel) เป็นศิลปินอเมริกันชื่อดังผู้บุกเบิกการสร้างงานเกี่ยวกับแสง การรับรู้ และพื้นที่เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่เรียกว่า time-based perceptual experience หรือประสบการณ์การรับรู้ตามช่วงเวลาโดยเฉพาะผลงานเลื่องชื่อชุด “Skyspace” ที่เขาสร้างสรรค์มาแล้วกว่า 90 แห่งทั่วโลกตั้งแต่ยุค 70s ด้วยการสร้างพื้นที่ปิดล้อมให้ผู้ชมมองเห็นแสงธรรมชาติจากท้องฟ้าผ่านการ “จัดกรอบ” ด้วยช่องเปิดบนเพดาน

ที่ Dib Bangkok เขาได้สร้างศิลปะจัดวางเฉพาะพื้นที่และติดตั้งถาวรในชื่อ Straight up (2025) เป็นรูปทรงเหมือนหอคอย ผู้ชมต้องเดินขึ้นบันไดไปด้านบนที่สร้างเป็นห้องทรงกลมและมีเก้าอี้โค้งไปตามผนังให้นั่ง ตรงกลางเพดานเจาะเป็นช่องวงกลมเล็กๆ ให้มองเห็นท้องฟ้าภายนอก สีในห้องเปลี่ยนไปตามสีของแสงไฟที่ตั้งโปรแกรมไว้ทำให้สีของท้องฟ้าที่มองเห็นผ่านช่องเปิดบนเพดานที่เป็นดั่ง “รูรับแสง” เปลี่ยนเป็นสีคู่ตรงข้าม ส่วนชั้นล่างของหอคอยใช้หลักการของกล้องรูเข็มเพื่อฉายภาพท้องฟ้าลงบนพื้น การเข้าชมงานชิ้นนี้เริ่มในเวลา 17.00 น. โดยต้องซื้อบัตรเข้าชมต่างหากในราคา 250 บาท และต้องจองรอบล่วงหน้าทางออนไลน์เท่านั้น

ชีวิต ความหวัง และการเริ่มต้นใหม่
“Memory”
ศิลปิน : โช ชิบุยะ
เหนืออาคารชั้นเดียวทางด้านซ้ายของพิพิธภัณฑ์ติดตั้งภาพพิมพ์บนแผ่นไวนิลความยาว 85 เมตรในชื่อ “Memory” (2025) ที่ขยายมาจากผลงานบางส่วนในชุด “Sunrise from a Small Window” ของ โช ชิบุยะ (Sho Shibuya) ศิลปินญี่ปุ่นที่พำนักที่นิวยอร์กและเริ่มทำผลงานชุดนี้เรื่อยมาตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์ Covid-19 ใน ค.ศ. 2020 ในทุกเช้าศิลปินจะใช้หน้าหนังสือพิมพ์ The New York Times แทนผืนผ้าใบเพื่อวาดภาพสีอะคริลิกถ่ายทอดเฉดสีท้องฟ้ายามเช้าในแต่ละวันที่เขาเห็นผ่านหน้าต่างเล็กๆ ในอพาร์ตเมนต์ย่านบรุกลิน

การทาสีทับบนหนังสือพิมพ์ที่รายงานข่าวสารความวุ่นวายทั่วโลกด้วยภาพท้องฟ้าที่สงบและสวยงามเป็นไดอะรีบันทึกทั้งอารมณ์และความรู้สึกภายในของศิลปินและเหตุการณ์ภายนอกที่แม้จะถูกปิดทับด้วยสี แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธถึงเหตุการณ์ในข่าวที่เกิดขึ้นจริงได้ และหากผู้ชมขึ้นไปยังอาคารจัดแสดงนิทรรศการที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะมีหน้าต่างที่สามารถมองเห็นภาพพิมพ์บนแผ่นไวนิลนี้ได้คล้ายดั่งเช่นที่ โช ชิบุยะมองผ่านหน้าต่างในอพาร์ตเมนต์ รวมทั้งพื้นที่ที่มีกระจกใสบานใหญ่ให้นั่งชมผลงานได้ในมุมกว้าง

ร่างกายผู้หญิง = พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
“Breast Stupa Topiary”
ศิลปิน : พินรี สัณฑ์พิทักษ์
บริเวณระเบียงชั้นบนที่เรียกว่าสวนประติมากรรมกลางแจ้ง ติดตั้งประติมากรรมสเตนเลสรูปทรงคล้ายเจดีย์ทรวงอกชื่อ “Breast Stupa Topiary” (2013)ของ พินรี สัณฑ์พิทักษ์ ศิลปินหญิงที่มักใช้รูปทรงของหน้าอกผู้หญิงโดยลดทอนให้มีความเรียบง่ายและจัดวางให้มีรูปลักษณ์คล้ายกับรูปทรงของสถูปเพื่อสะท้อนถึงบทบาทของผู้หญิงและความเป็นแม่ ชีวิต จิตวิญญาณ และศาสนา มาตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ด้วยวัสดุที่หลากหลายทั้งสิ่งทอ เซรามิก สเตนเลส แก้ว และเหล็ก โครงสเตนเลสของงานชิ้นนี้ออกแบบให้เป็นเหมือน topiary หรือพุ่มไม้ตัดแต่งสำหรับให้พรรณพืชเกาะเกี่ยวเพื่อดำรงชีวิตเช่นเดียวกับบทบาทของแม่ผู้ให้กำเนิดชีวิต

ภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในกรอบขาวสะอาด
“Constellations”
ศิลปิน : มาร์โค ฟูชินาโต
เมื่อผู้ชมก้าวเข้าสู่ชั้น 1 ของอาคารจัดแสดง 3 ชั้น จะพบกับผนังสีขาวทอดยาวพร้อมกับไม้เบสบอลที่คล้องไว้กับโซ่วางบนพื้นซึ่งศิลปิน มาร์โค ฟูชินาโต (Marco Fusinato) เชิญชวนให้ผู้ชมหยิบไม้เบสบอลขึ้นมาและหวดลงบนผนังเพื่อสร้างร่องรอยการกระทำด้วยความรุนแรงไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่รอยบุบหรือรอยร้าวบนผนัง แต่ในผนังยังซ่อนลำโพงที่ระเบิดเสียงดังได้สูงสุดถึง 120 เดซิเบล

ผลงานชื่อ Constellations (2015-2025) ท้าทายให้เราสัมผัสกับพลังงานที่มองไม่เห็น แต่รับรู้ได้ผ่านเสียงและแรงสั่นสะเทือน ฟูชินาโตเป็นทั้งศิลปินและนักดนตรีที่เติบโตมากับเพลงร็อกและพังก์ทำให้สนใจทำงานเกี่ยวกับเสียงและพลังของความรุนแรง การใช้ผนังสีขาวในบริบทของสถาบันศิลปะเป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่ปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่พื้นที่ที่ควรเงียบกลับถูกโจมตีด้วยเสียงจากไม้เบสบอลที่เป็นอุปกรณ์กีฬา ดังนั้นความรุนแรงและการใช้อำนาจอาจฝังตัวอยู่ในสิ่งธรรมดาสามัญรอบตัว

ความเจ็บป่วย การเยียวยา และ ความไม่เที่ยงของชีวิต
“อโรคยาศาล”
ศิลปิน : มณเฑียร บุญมา
สองห้องจัดแสดงของชั้น 3 อุทิศให้กับผลงานของ มณเฑียร บุญมา (พ.ศ. 2496-2543) ศิลปินคนสำคัญที่บุกเบิกศิลปะร่วมสมัยของไทยผ่านศิลปะสื่อผสม ศิลปะจัดวาง และงานเชิงความคิดเข้าด้วยกัน หนึ่งในผลงานไอคอนิกของเขาที่จัดแสดงมาแล้วทั่วโลกคือศิลปะจัดวางชื่อ “อโรคยาศาล” (1996) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากปราสาทหรือศาลาในวัฒนธรรมขอมที่เป็นสถานที่บำบัดเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจของคนในสมัยโบราณ
เมื่อภรรยาของเขาป่วยด้วยโรคมะเร็งเมื่อ พ.ศ.2534 มณเฑียรเริ่มสร้างงานศิลปะเกี่ยวกับการบำบัดรักษาด้วยสมุนไพรและสอดแทรกหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนาเพื่อพยายามต่อสู้กับโรคร้ายและปลอบประโลมตัวเองไปในขณะเดียวกันจนกระทั่งภรรยาจากไปเมื่อ พ.ศ.2537 และเขาเองก็ป่วยด้วยโรคมะเร็งเช่นกันและเสียชีวิตในอีก 6 ปีต่อมาโดยสาเหตุหนึ่งมาจากการทำงานศิลปะที่ใช้พิกเมนต์ของสมุนไพรมากเกินไป

อโรคยาศาลของมณเฑียรประกอบขึ้นจากกล่องโลหะโปร่งด้วยรูพรุนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากลิ้นชักเก็บยาของร้านขายยาสมุนไพรโดยเรียงทับซ้อนขึ้นไปสู่ส่วนยอดเหมือนเป็นสถูปขนาดย่อม การจัดเรียงนี้ได้อิทธิพลมาจากการเรียงหินแบบ corbel ในสถาปัตยกรรมปราสาทขอมโบราณด้วยการเรียงก้อนหินหรืออิฐซ้อนกันเป็นชั้นๆ โดยไม่ต้องใช้ปูนซีเมนต์หรือคานเหล็ก แต่ใช้แรงกดและน้ำหนักของหินหรืออิฐ ส่วนบนสุดของงานติดตั้งรูปปอดอะลูมิเนียมหลายชิ้นที่เชื่อมติดกันเป็นพวง ทั้งกล่องรูพรุนและปอดโลหะเคลือบไว้ด้วยสมุนไพรทำให้เมื่อผู้ชมเดินเข้าไปด้านในสามารถรับกลิ่นได้ เพราะศิลปินตั้งใจให้ผลงานชิ้นนี้เป็นดั่งพื้นที่แห่งความสงบและผ่อนคลาย นอกจากนี้ผู้ชมยังจะได้เห็นผลงานเลื่องชื่อของมณเฑียรชิ้นอื่นๆ ที่จัดแสดงด้วย เช่น Lotus Sound และ Zodiac House

การฟักตัวของชีวิตและความหวัง
“Incubate”
ศิลปิน : สุโพธ คุปตา
สุโพธ คุปตา (Subodh Gupta) ศิลปินชาวอินเดียนำเสนอความขัดแย้งของการใช้วัสดุระหว่างแชนเดอเลียร์คริสตัลหรูหราจากโลกตะวันตกที่ห้อยลงมาจากเพดานเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิบริโภคนิยม กับประติมากรรมรูปทรงไข่หลายชิ้นบนพื้นที่ประกอบขึ้นจากการวางทับซ้อนกันของกล่องอาหารกลางวันสเตนเลสนับพันใบที่ชาวอินเดียเรียกว่า dabba เพื่อสื่อถึงวิถีชีวิตแรงงานในโลกตะวันออกและความหวังเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
ในมหานครมุมไบของอินเดียมีกลุ่มคนที่เรียกว่า Dabbawala ทำหน้าที่ส่งปิ่นโตอาหารกลางวันจากบ้านสู่ที่ทำงานของลูกค้าในเมืองโดยส่งวันละเป็นแสนกล่องด้วยจักรยาน รถไฟ และการเดิน ซึ่งเป็นระบบโลจิสติกส์แบบชุมชนที่ใช้ระบบสัญลักษณ์ สี และตัวเลข แทนที่อยู่โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี แต่มีความแม่นยำสูงจนกลายเป็นกรณีศึกษาที่ทั่วโลกให้ความสนใจ

ศพทางวัฒนธรรมที่ถูกฆาตกรรม
“เสียงพูดที่ไม่ได้ยิน”
ศิลปิน : สมบูรณ์ หอมเทียนทอง
หนึ่งในผลงานไอคอนิกของ สมบูรณ์ หอมเทียนทอง คือศิลปะจัดวางชื่อ “เสียงพูดที่ไม่ได้ยิน” (ค.ศ. 1995) ประกอบด้วยเสาไม้แดง 14 ต้น มีลวดลายลงรักปิดทองคำเปลวที่ครั้งหนึ่งเคยค้ำจุนพระวิหารของวัดแห่งหนึ่งในอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และถูกรื้อถอนออกไปจนกระทั่งศิลปินไปพบเจอที่ร้านขายของเก่าในจังหวัดเชียงใหม่และซื้อกลับมา

เขาทำความสะอาดเสาแต่ละต้นและพันผ้าขาวราวกับห่อหุ้มร่างของผู้วายชนม์และนำมาจัดแสดงครั้งแรกในนิทรรศการชื่อ “เสียงพูดที่ไม่ได้ยิน” ใน พ.ศ.2538 ที่หอศิลป์แห่งชาติ โดยนำมาวางนอนเรียงในห้องจัดแสดงที่มีผ้าขาวรองรับพร้อมกับจัดวางเครื่องแก้ว ชุดกรวดน้ำ และติดตั้งดวงไฟที่ห้อยจากเพดานให้บรรยากาศสลัว เขายังนิมนต์พระสงฆ์ 14 รูปมาทำพิธีสวดบังสุกุลตามขนบธรรมเนียมการทำพิธีศพของไทย สำหรับศิลปินแล้วเสาเหล่านี้ที่เคยมีบทบาทสำคัญในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งในด้านสถาปัตยกรรมและความศรัทธาได้ถูกฆาตกรรมและกลายเป็นศพทางวัฒนธรรมที่ถูกทอดทิ้งเมื่อหมดหน้าที่

ความเปราะบางในร่างที่สมบูรณ์แบบตามอุดมคติ
“Willing to Be Vulnerable–Metalized Ballon V3”
ศิลปิน : ลี บูล
ลูกโป่งสีเงินขนาดยักษ์รูปเรือเหาะแขวนห้อยกลางอากาศในห้องจัดแสดงเป็นผลงานชื่อ “Willing to Be Vulnerable–Metalized Ballon V3” (2015/2019) โดยศิลปินเกาหลีใต้ ลี บูล (Lee Bul) ที่เล่นประเด็นเรื่องความเปราะบางและความสมบูรณ์แบบในอุดมคติผ่านวัสดุที่เบาและบอบบางของลูกโป่ง แต่เคลือบผิวให้ดูคล้ายโลหะทำให้กลายเป็นภาพลวงของความแข็งแกร่งทั้งที่ภายในแสนเปราะบางและพร้อมแตกสลาย
ผลงานชิ้นนี้ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สะเทือนขวัญที่เรียกว่า Hindenburg Disaster เมื่อเรือเหาะฮินเดินบวร์กซึ่งเป็นเรือเหาะขนาดใหญ่ใช้ก๊าซไฮโดรเจนในการลอยตัวที่เยอรมนีสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1930 สำหรับขนส่งผู้โดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างยุโรปกับสหรัฐอเมริกาได้เกิดไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็วใน ค.ศ. 1937 ขณะลดระดับเพื่อเตรียมลงจอดที่ฐานทัพอากาศเลกเฮิร์สต์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังเดินทางออกมาจากเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เรือเหาะฮินเดินบวร์กได้มอดไหม้อย่างรวดเร็วภายในเวลา 30 วินาทีจนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 36 คน และเป็นการทำลายความภาคภูมิใจของกองทัพนาซีที่ต้องการประกาศให้โลกรู้ว่านี่เป็นอากาศยานที่ทันสมัยและก้าวหน้าที่สุดในยุคนั้น

ฟื้นฟูอารยธรรมท่ามกลางซากปรักหักพัง
“Der verlorene Buchstabe”
ศิลปิน : แอนเซล์ม คีเฟอร์
ประติมากรรมขนาดมหึมาชื่อ “Der verlorene Buchstabe” (2019) โดยศิลปินชาวเยอรมัน แอนเซล์ม คีเฟอร์ (Anselm Kiefer) จัดแสดงเต็มพื้นที่หนึ่งห้องจัดแสดงในชั้น 3 ศิลปินได้นำเครื่องพิมพ์เลตเตอร์เพรสยี่ห้อไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg) ของเยอรมนีรุ่นดั้งเดิมมาติดตั้งพร้อมกับมีภาพถ่ายคลี่ม้วนออกมาจากเครื่อง เครื่องพิมพ์นี้สามารถผลิตงานพิมพ์ได้รวดเร็วจนเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการพิมพ์ในยุโรป แต่การผลิตเครื่องพิมพ์รุ่นนี้กลับชะลอตัวลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากบริษัทต้องหันมาผลิตเครื่องจักรสงครามให้แก่กองทัพนาซีแทน

Der verlorene Buchstabe ในภาษาเยอรมันแปลตรงตัวว่า “ตัวอักษรที่หายไป” โดยอ้างอิงถึงตัวอักษรล่องหนในคัมภีร์โบราณโทราห์ (Torah) ซึ่งตามลัทธิคับบาลาห์ (Kabbalah) ของชาวยิว เชื่อกันว่าวันหนึ่งอักษรนั้นจะกลับมาปรากฏอีกครั้งเพื่อเยียวยาโลกใบนี้ เช่นเดียวกับเครื่องพิมพ์ที่ผลิตตัวอักษรที่เป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมของมนุษย์จะกลับมาฟื้นฟูอีกครั้งหลังจากประวัติศาสตร์อันโหดร้ายทารุณสิ้นสุดลง และเช่นเดียวกับดอกทานตะวันที่ติดตั้งบนเครื่องพิมพ์ที่ผุพังจะสามารถผลิบานได้ท่ามกลางเศษซากความเสียหาย
Fact File
- Dib Bangkok (ดิบ บางกอก) ตั้งอยู่ที่ สถานที่ตั้งอยู่ใกล้กับที่ตั้งเดิมของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตกล้วยน้ำไท
- 111 ซอยสุขุมวิท 40 พระโขนง คลองเตย กรุงเทพฯ
- เวลาทำการ : วันพฤหัสบดี-วันจันทร์ เวลา 10.00-19.00 น. (ปิดวันอังคารและวันพุธ)
- บัตรเข้าชม : 550 บาทสำหรับคนไทย 250-150 บาทสำหรับนักเรียน/นักศึกษา และ 700 บาทสำหรับชาวต่างชาติ และสำรองบัตรเข้าชมล่วงหน้าทางเว็บไซต์ www.dibbangkok.org