โป๊ปฟรังซิส : เพราะธรรมดาคือสามัญ และพระจริยวัตรที่หลายคนคิดไม่ถึง
Faces

โป๊ปฟรังซิส : เพราะธรรมดาคือสามัญ และพระจริยวัตรที่หลายคนคิดไม่ถึง

Focus
  • โป๊ปฟรังซิส หรือ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส (Pope Francis) เสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกในฐานะแขกของรัฐบาลไทยระหว่างวันที่ 20-23 พฤศจิกายน 2562
  • สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เป็นพระประมุของค์ที่ 2 แห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่เสด็จเยือนไทย หลังจากนักบุญยอห์นปอลที่ 2 พระสันตะปาปาที่เคยเสด็จมาเมื่อ 35 ปีที่แล้ว และนับเป็นการเสด็จเยือนทวีปเอเซียครั้งที่ 4 ของพระองค์หลังจากเคยเสด็จไปที่เกาหลีใต้ (พ.ศ.2557) ศรีลังกา-ฟิลิปปินส์ (พ.ศ.2558) และ พม่า-บังกลาเทศ (พ.ศ.2560)

หลังจากที่ โป๊ปฟรังซิส หรือ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส (Pope Francis) เสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกในฐานะแขกของรัฐบาลไทยระหว่างวันที่ 20-23 พฤศจิกายน 2562 ทั้งชาวคริสต์และผู้ที่ไม่ใช่ชาวคริสต์ต่างก็ได้รู้จักพระองค์มากขึ้น Sarakadee Lite มีโอกาสได้พูดคุยกับ อาจารย์ชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย ผู้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ โป๊ปฟรังซิสที่สำนักวาติกัน กรุงโรม ประเทศอิตาลีหลายครั้งและเป็นหนึ่งในคณะทำงานสำหรับการเตรียมการรับเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก ได้มาร่วมเปิดเผยบางแง่มุมของพระองค์ท่านที่หลายคนอาจยังไม่รู้ โดยเฉพาะพระจริยวัตรที่เรียบง่ายอย่างคาดไม่ถึง

รู้จักโป๊ปฟรังซิสผ่านอาจารย์ชัยณรงค์ผู้เตรียมงานรับเสด็จถึง 2 ครั้ง

โป๊ปฟรังซิส

โป๊ปฟรังซิสเสด็จจากกรุงโรมถึงไทยในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 พร้อมคณะผู้ติดตามจากสำนักวาติกันโดยมีที่นั่งสำหรับผู้สื่อข่าวอีก 80 ที่นั่ง แต่ละสำนักข่าวออกค่าใช้จ่ายเองและต่างก็ต้องการร่วมเดินทางในเครื่องบินพระที่นั่งเพื่อจะได้มีโอกาสสัมภาษณ์พระองค์ท่านแบบเอ็กซ์คูลซีฟบนเครื่องบินด้วย

“สำหรับโป๊ปองค์นี้ ผู้สื่อข่าวที่อยู่บนเครื่องสามารถถามคำถามอะไรก็ได้และไม่ต้องส่งคำถามก่อนด้วย แต่มีเวลาจำกัดให้เช่น ครึ่งชั่วโมง เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นผู้สื่อข่าวสายวาติกันประจำกรุงโรม มีหลายคนเหมือนกันที่จองไม่ทัน เขาก็ต้องบินมาเอง แล้วก็มาลงทะเบียนเอาที่เมืองไทย พระองค์ท่านเดินทางแบบ Commercial Flight (เครื่องบินพาณิชย์) ไม่ใช่แบบ Charter Flight (เช่าเหมาลำ) จากกรุงโรมด้วยสายการบินอาลีตาเลีย และจากไทยไปญี่ปุ่นด้วยสายการบินไทย และจากญี่ปุ่นกลับโรมด้วยสายการบิเจแปนแอร์ไลน์” อาจารย์ชัยณรงค์ ที่ปรึกษาสมณสภาสื่อสารสังคม สันตะสำนัก (The Holy See) ให้รายละเอียด

พระจริยวัตรที่สมถะ พระทัยแรงกล้าในการสร้างสันติสุขและสันติภาพ ความเคารพในความแตกต่าง และความเชื่อมั่นในพลังของเยาวชน คือสิ่งที่อาจารย์ชัยณรงค์เชื่อมั่นว่าเราจะได้เห็นในการเสด็จครั้งนี้

โป๊ปฟรังซิส

ครองตนอย่างสมถะ

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เป็นพระประมุของค์ที่ 2 แห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่เสด็จเยือนไทย หลังจากนักบุญยอห์นปอลที่ 2 พระสันตะปาปาที่เคยเสด็จมาเมื่อ 35 ปีที่แล้ว และนับเป็นการเสด็จเยือนทวีปเอเซียครั้งที่ 4 ของพระองค์หลังจากเคยเสด็จไปที่เกาหลีใต้ (พ.ศ.2557)ศรีลังกา-ฟิลิปปินส์ (พ.ศ.2558) และ พม่า-บังกลาเทศ (พ.ศ.2560)

เช่นเดียวกับเมื่อครั้งนักบุญยอห์นปอลที่ 2 พระสันตะปาปาที่เสด็จมาไทยเมื่อ พ.ศ.2527 โป๊ปฟรังซิสเลือกประทับที่สถานเอกอัครสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทยบริเวณเซนต์หลุยส์ กรุงเทพฯ

“จริงๆแล้วก็คงเป็นห้องนอนของเอกอัครสมณทูตนั่นแหละ ไม่ได้สร้างห้องประทับอะไรใหม่เลยเพราะพระองค์ท่านรับสั่งว่าเอาง่ายๆ เรียบๆ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องไปเปลี่ยนอะไร พระองค์ท่านไม่ชอบที่จะอยู่อะไรหรูหรา ส่วนรถพระที่นั่ง จริงๆ แล้วเวลาเสด็จทุกประเทศพระองค์ท่านจะขอเลยว่าให้ใช้รถคันที่เล็กที่สุด อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย ทราบว่าพระองค์ท่านน่าจะใช้รถของท่านเอกอัครสมณทูตวาติกันซึ่งเป็น Toyota Camryก็ไม่ได้ถึงกับหรูหราเกินไปและไม่ใช่รถใหม่” อาจารย์ชัยณรงค์เล่าเพิ่มเติมว่า “ที่วาติกันท่านก็ใช้รถ Ford Focus ซึ่งเป็นรถขนาดเล็กธรรมดาๆ”

อยู่อย่างเรียบง่าย

โป๊ปฟรังซิส

ที่นครรัฐวาติกัน โป๊ปฟรังซิสเลือกที่จะประทับอย่างเรียบง่ายที่กาซา ซานตามาร์ทา (Casa Santa Marta) ซึ่งเป็นเรือนรับรองแขกของวาติกันโดยปฏิเสธที่พักทางการอันหรูหราภายในพระราชวังสำหรับพระสันตะปาปา (Apostolic Palace)

กาซา ซานตามาร์ทา เป็นตึก 5 ชั้น และเป็นสถานที่ที่พระองค์ท่านประทับอยู่ตั้งแต่ดำรงสมณะศักดิ์เป็นพระคาร์ดินัลจากอาร์เจนตินาเมื่อครั้งมีการประชุมลับ (Conclave) ของพระคาร์ดินัล 115 องค์เพื่อเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ภายหลังสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงสละตำแหน่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2556

“หลังจากได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปา (เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556) พระองค์ท่านก็ขอประทับอยู่ที่นี่ต่อ เราเรียกกันว่าฮิลตันของวาติกันอาคารเป็นแบบอะพาร์ตเมนต์ซึ่งทุกห้องจะเหมือนกันหมดคือเป็นห้องสวีตมี 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องน้ำ แต่เวลาที่จะต้องต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองตามพิธีการทูต พระองค์ท่านจะเสด็จไปที่วังแต่ไม่พัก ถ้ารับแขกแบบไม่เป็นทางการ พระองค์ท่านมักโปรดที่จะรับรองที่ซานตามาร์ทา” อาจารย์ชัยณรงค์กล่าว

คำขอบคุณที่ทรงต้องกล่าวทุกวัน

อาจารย์ชัยณรงค์เคยพักอยู่ที่นี่ระหว่างที่ได้รับเชิญเป็นวิทยากรในการประชุมของสำนักวาติกันตลอดสัปดาห์ที่อยู่ที่ซานตามาร์ทา จึงมีโอกาสเห็นพระจริยวัตรที่น่าชื่นชมยิ่งขององค์พระสันตะปาปา

“มีเกร็ดอย่างหนึ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือ เมื่อพระองค์ท่านเสร็จภารกิจในแต่ละวัน น่าจะประมาณ 2-3 ทุ่ม และกลับมาที่ซานตามาร์ทา ที่นี่เหมือนโรงแรมคือมี Front Desk พระองค์ท่านจะเดินไปขอกุญแจห้องเองและโปรดที่จะถือกระเป๋าเอกสารเองไม่ให้คนช่วยถือ เสร็จแล้วก็จะไปจับมือกับทหารสวิสแต่ละคน ขอบคุณเขาที่ปฏิบัติหน้าที่คอยดูแลถวายอารักขาพระองค์ทั้งวัน กู๊ดไนท์แต่ละคน แล้วก็กดลิฟต์เองขึ้นไปที่ห้อง 210ที่พระองค์ท่านอยู่ส่วนผมอยู่ห้อง 182 ก็ไม่ไกลกันมาก”

ธรรมดาสามัญคือแนวปฏิบัติ

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส

ตามประเพณีปฏิบัติ เมื่อได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปา แต่ละพระองค์จะมีตราประจำพระองค์และใช้ประดับอยู่ที่บรรดาข้าวของเครื่องใช้เช่นจาน ช้อม ส้อมมีด เป็นต้น

“แต่โป๊ปองค์นี้พระองค์ท่านบอกไม่ให้ทำ ไม่ต้องมีตราอะไรทั้งสิ้น ที่ซานตามาร์ทาจะมีห้องรับประทานอาหารมีโต๊ะแบบโต๊ะกลมคล้ายๆโต๊ะจีนหลายโต๊ะ นั่งได้โต๊ะละประมาณ 5-6คน พระองค์ท่านก็รับสั่งว่าไม่ต้องมีโต๊ะประจำของพระองค์ห้ามปูผ้าพิเศษ ไม่ต้องเอาเก้าอี้พิเศษมาให้ โต๊ะไหนว่างพระองค์ท่านก็ไปประทับตรงนั้น พระองค์ท่านโปรดชีวิตของการอยู่เป็นหมู่คณะ”

อาจารย์ชัยณรงค์เสริมอีกว่า ในบางครั้ง โป๊ปแอบเสด็จไปโรงอาหารของวาตกันซึ่งจัดอาหารให้เป็นสวัสดิการแก่พนักงานเช่นช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างโทรศัพท์

“อาหารก็เป็นอาหารธรรมดาๆ ท่านก็ไปเข้าคิว ถือถาดรอรับอาหารแล้วก็ไปนั่งกับพวกพนักงานพูดคุยกับพวกเขารับรู้เรื่องต่างๆแบบไม่ต้องผ่านคนอื่น แล้วพระองค์ท่านไม่โปรดเลยเวลามีใครให้แซงคิว”

สัญลักษณ์แห่งสันติภาพและโอบอ้อมอารี

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส

อาจารย์ชัยณรงค์เล่าว่าโป๊ปฟรังซิสหรือคุณพ่อฮอร์เก้ (Father Jorge) ที่เด็กๆชาวอาเจนตินาคุ้นเคยทรงมีเชื้อสายอิตาเลียน บิดาของพระองค์อพยพจากบ้านเกิดเมืองนอนข้ามมหาสมุทรมายังประเทศอาเจนตินาพระองค์ท่านจึงทรงเข้าพระทัยดีถึงความลำบากและความยากไร้ โป๊ปฟรังซิสยังเป็นสันตะปาปาพระองค์แรกที่เป็นชาวลาตินอเมริกันและเป็นพระองค์แรกที่มาจากนักบวชคณะเยสุอิต ชื่อฟรังซิสที่พระองค์ท่านเลือกใช้ มาจากนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี (Assisi) ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพและการโอบอ้อมอารีแก่คนยากไร้

นอกเหนือจากการเสด็จมาเยี่ยมเยียนคริสตชนที่ประเทศไทย อาจารย์ชัยณรงค์กล่าวว่าหนึ่งในกำหนดการที่สำคัญคือการพบผู้นำคริสตชนนิกายต่างๆและผู้นำของศาสนาอื่นๆที่กรมการศาสนารับรอง ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้

“นี่เป็นการเดาได้ว่า พระองค์ท่านประสงค์ที่จะให้โลกได้รู้ว่าประเทศไทยคือประเทศตัวอย่างของการที่ประชากรนับถือหลากหลายศาสนาแต่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่มีปัญหาขัดแย้งใดๆ ในการพบผู้นำศาสนาครั้งนี้ พระองค์ท่านโปรดสถานที่ที่เป็นกลางจึงได้เลือกเป็นสถานศึกษา พระองค์ท่านให้ความเคารพกับศาสนาที่สำคัญในประเทศคือพุทธศาสนาด้วยการไปเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระสังฆราชฯ เป็นการเฉพาะ (วันที่ 21พฤศจิกายน 2562)” หลังจากประเทศไทย โป๊ปฟรังซิสได้เสด็จเยือนประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 23-26 พฤศจิกายน 2562

“ที่ญี่ปุ่นพระองค์ท่านเสด็จไปเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ เพื่อส่งเสริมเรื่องสันติภาพ พระองค์ท่านต้องการที่จะบอกว่าเราต้องเคารพทุกชีวิต หนึ่งชีวิตก็ประเมินค่าไม่ได้แล้วพระองค์ท่านจะใช้เวลาที่สองเมืองนี้เป็นพิเศษ”

นัยในการเสด็จเยือนไทยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสจึงค่อนข้างแตกต่างกับการเสด็จของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 เมื่อ35 ปีที่แล้ว เนื่องจากในช่วงเวลานั้นประเทศไทยเป็นที่พึ่งพิงของผู้อพยพจากสงครามในกลุ่มประเทศอินโดจีน โดยพระองค์ท่านได้เสด็จเยี่ยมค่ายผู้อพยพลี้ภัยในอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เพื่อให้โลกรับรู้ถึงภัยสงครามและปัญหาผู้ลี้ภัย จะได้ช่วยกันให้ความช่วยเหลือ

อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังของเยาวชน

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส

อาจารย์ชัยณรงค์กล่าวอีกว่าพระสันตะปาปาฟรังซิสให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อม เพราะนั่นคือสิ่งสร้างของพระเจ้าที่พระเจ้าสร้างด้วยความรักเราจึงต้องรักและต้องช่วยกันดูแล

“เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจหากในการเสด็จเยือนไทยครั้งนี้ คงมีโอกาสใดโอกาสหนึ่ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง ที่พระองค์ท่านจะตรัสเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผมเชื่อว่าพระองค์ท่านคงตรัสเรื่องนี้ตอนที่มีพิธีมิสซากับเยาวชนที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก (วันที่ 22 พฤศจิกายน 2562) เพราะพระองค์ท่านเชื่อในพลังของเยาวชน เรามักจะได้ยินว่าเด็กคืออนาคตของชาติ แต่พระองค์ท่านจะพูดกับเยาวชนเสมอว่า ‘You are not the future. You are the present and the future.’คือเธอเป็นทั้งปัจจุบันและอนาคต ดังนั้นจงอย่าเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์และรอเป็นผู้ใหญ่เสียก่อน เพราะเธอสามารถทำอะไรได้หลายอย่างตั้งแต่เดี๋ยวนี้”

อาจารย์ให้ข้อมูลว่าในพิธีมิสซาสำหรับเยาวชน โป๊ปรับสั่งว่าอย่าไปบังคับเยาวชนว่าให้ต้องแต่งตัวอย่างไร ให้พวกเขาเป็นอิสระ ไม่ต้องไปตีกรอบการแต่งกายของพวกเขาจนเกินไป

“อีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจ คือที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เราจะได้เห็นเด็กคาทอลิกจากบนดอยแม่แจ่มขับร้องเพลงร่วมกันกับเด็กมุสลิมจากจังหวัดนราธิวาส ซึ่งจะเป็นภาพที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยนัก เพื่อสื่อให้เห็นว่าในระหว่างศาสนา เราควรที่จะเข้าใจกัน เคารพกัน และทำงานร่วมกันได้ การมาของโป๊ปก็เปรียบเสมือนสะพานให้เกิดความรัก ความเข้าใจ และสันติสุข”

ญาติในเมืองไทยและชีวิตแบบแอนะล็อก

โป๊ปฟรังซิสมีญาติผู้น้องอยู่ที่เมืองไทยซึ่งเมื่อบวชเป็นซิสเตอร์ที่อาร์เจนตินาแล้วขอมาเป็นมิชชันนารีที่นี่ตั้งแต่เมื่อกว่า50 ปีมาแล้ว ปัจจุบัน ซิสเตอร์อานา โรซา ในวัย 77 ปี ประจำอยู่ที่โรงเรียนเซนต์เมรี่ จังหวัดอุดรธานี และในการเสด็จครั้งนี้

โป๊ปฟรังซิสขอให้ซิสเตอร์อานามาเป็นล่ามประจำพระองค์

“โป๊ปฟรังซิสตรัสได้ทั้งภาษาอิตาลีและสเปน และซิสเตอร์ก็เช่นกัน พระองค์ท่านจึงขอมาโดยเฉพาะให้ซิสเตอร์มาเป็นล่ามให้เพราะสามารถพูดไทยได้คล่องด้วย ทั้งสองเขียนจดหมายถึงกันเป็นระยะ ไม่ใช้ไลน์ เวลาผมไปโรมซิสเตอร์ก็เคยฝากจดหมายหรือของฝากไปให้โป๊ป

“ซิสเตอร์เคยเล่าว่าเมื่อครั้งที่โป๊ปฟรังซิสยังเป็นพระคาร์ดินัล โดยปกติพออายุเจ็ดสิบ พระคาร์ดินัลจะส่งจดหมายลาเกษียณไปที่โป๊ป แต่โป๊ปจะรับใบลานั้นหรือไม่และตอนไหน อันนี้ไม่มีใครรู้ ถ้ายังไม่รับใบลาก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป ตอนทำจดหมายลาท่านก็ได้บอกกับน้องว่าสิ่งแรกเลยที่จะทำหลังเกษียณคือ จะเรียนการใช้คอมพิวเตอร์ เพราะท่านใช้อีเมลไม่เป็น ตอนนี้ท่านใช้เป็นหรือเปล่าผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน” อาจารย์ชัยณรงค์กล่าวทิ้งท้าย

Fact File

  • ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โป๊ปฟรังซิส คลิก www.vaticannews.va/en.html

Author

เกษศิรินทร์ ผลธรรมปาลิต
Feature Editor ประจำ Sarakadee Lite อดีต บรรณาธิการข่าวไลฟ์สไตล์ Nation ผู้นิยมคลุกวงในแวดวงศิลปวัฒนธรรมจนได้ขุดเรื่องซีฟๆ มาเล่าสู่กันฟังเสมอ