![10 ไฮไลต์เที่ยว อัลอูลา ปลายทางแหล่งโบราณคดีระดับโลกแห่ง ซาอุดีอาระเบีย](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla.jpg)
10 ไฮไลต์เที่ยว อัลอูลา ปลายทางแหล่งโบราณคดีระดับโลกแห่ง ซาอุดีอาระเบีย
- ซาอุดีอาระเบียประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบเมื่อปลายปี ค.ศ.2019 ตามกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลักให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2030
- หนึ่งในเมืองที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวสายวัฒนธรรมก็คือ อัลอูลา (AlUla) ปลายทางมรดกวัฒนธรรมและโบราณคดีระดับโลก
- อัลอูลา เป็นหนึ่งในเมืองเก่าแก่ที่สุดบนคาบสมุทรอาระเบียที่มีหลักฐานทางโบราณคดีย้อนอายุไปได้กว่า 7,000 ปี
ทะเลแดง เทือกเขาอาซีร์ นครเจดดาห์ นครเมกกะ แหล่งโบราณคดีอัลฮิจญร์ คือภาพจำด้านการท่องเที่ยวเมื่อนึกถึง ซาอุดีอาระเบีย ประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีมูลค่ามหาศาลอย่างน้ำมัน แต่ในวันที่เศรษฐีน้ำมันระดับโลกเริ่มปรับแผนเศรษฐกิจครั้งใหญ่ส่งผลให้ ซาอุดีอาระเบีย ประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบเมื่อปลายปี ค.ศ.2019 ตามกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลักให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2030 (Saudi Vision 2030) ซึ่งแน่นอนว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้กลายมาเป็นหนึ่งในแผนการสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยหนึ่งในเมืองที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวสายวัฒนธรรมก็คือ อัลอูลา (AlUla) ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและโบราณคดีระดับโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ อีกทั้งมรดกโลก (UNESCO World Heritage Site) แห่งแรกในซาอุดีอาระเบียก็ตั้งอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เหล่านี้คือเหตุผลที่ทำให้เมืองกลางหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยทะเลทรายอย่าง อัลอูลา กลายเป็นจุดหมายใหม่ที่อยู่ในเช็กลิสต์ของนักเดินทางทั่วโลกได้ไม่ยาก
![อัลอูลา](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-6.jpg)
อัลอูลา เป็นหนึ่งในเมืองเก่าแก่ที่สุดบนคาบสมุทรอาระเบียที่มีหลักฐานทางโบราณคดีย้อนอายุไปได้กว่า 7,000 ปี อีกทั้งยังเคยเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรโบราณถึง 2 อาณาจักรด้วยกัน คือ ดาดัน (Dadan) และ ลิยัน (Lihyan) ไม่เพียงเท่านั้นด้วยทำเลที่ตั้งยังทำให้เมืองนี้มีความสำคัญด้านการค้าในฐานะอดีตเส้นทางค้าขายกำยานและธูปหอม เชื่อมดินแดนจากทางใต้ของคาบสมุทรอาระเบียไปจนถึงดินแดนอียิปต์
![อัลอูลา](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-12.jpg)
และสำหรับ อัลอูลา ในศตวรรษที่ 21 ได้ถูกวางให้เป็นปลายทางของธุรกิจ ศิลปะ วัฒนธรรม บันเทิง และจุดหมายใหม่ของการท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย มีทั้งเมืองโบราณเก่าแก่หลายพันปีไปจนถึงสถาปัตยกรรมโมเดิร์นสร้างด้วยโครงสร้างกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้ได้เลือก Sarakadee Lite ชวนไปปักหมุด10 สถานที่เที่ยวไฮไลต์เมืองอัลอูลา รอเพียงน่านฟ้าเปิดเดินทางได้เมื่อไร ซาอุดีอาระเบีย คือปลายทางใหม่ที่นักท่องเที่ยวผู้หลงใหลมรดกวัฒนธรรมและโบราณคดีห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด
![อัลอูลา](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-13.jpg)
(ภาพ : Royal Commission for AlUla)
01 เขตเมืองเก่าอัลอูลา (AlUla Old Town)
อัลอูลา เป็นศูนย์กลางอาณาจักรเก่าแก่ และยังเป็นเมืองโบราณที่มีคนอาศัยอยู่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน อาณาเขตที่เรียกว่าเมืองอัลอูลานั้นถูกแบ่งเป็น เขตเมืองเก่า ซึ่งเป็นที่ตั้งของแหล่งโบราณสถานสำคัญ และ เขตเมืองใหม่ เป็นย่านที่อยู่อาศัยและธุรกิจในปัจจุบัน โดยไฮไลต์แหล่งท่องเที่ยวสำคัญแน่นอนว่าอยู่ในเขตเมืองเก่าอัลอูลาที่เต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่สร้างจากหินสีน้ำตาลไม่ต่างจากสีของทะเลทราย ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยและร้านค้ารูปทรงสี่เหลี่ยมมีกำแพงติดกัน แบ่งเป็นบ้าน 900 หลัง ร้านค้า 400 ร้าน และจัตุรัสกลางเมืองอีก 5 จัตุรัส มองจากมุมสูงดูแล้วเหมือนเขาวงกต สามารถเดินลัดเลาะสัมผัสกลิ่นอายวิถีชีวิตชาวอัลอูลาเมื่อหลายพันปีก่อน
![อัลอูลา](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-25.jpg)
(ภาพ : www.experiencealula.com)
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าเมืองอัลอูลาก่อตั้งขึ้นก่อนสมัยคริสตกาลและรุ่งเรืองมาถึงศตวรรษที่ 12 (ค.ศ.1100-1190) ทั้งยังมีหลักฐานยืนยันว่าเมืองนี้เคยถูกใช้เป็นเส้นทางแสวงบุญเชื่อมจากกรุงดามัสกัส (Damascus) มายังนครเมกกะ (Makkah) ศูนย์กลางศาสนาอิสลาม ความใหญ่โตของเมืองอัลอูลายังมาจากประวัติศาสตร์ของเมืองที่เคยเป็นเมืองหลวงแห่งอารยธรรมชาวดาดันและลิยัน ทั้งยังเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าสำคัญของชาวนาบาเทียน (Nabataeans) ผู้สร้างนครเพตราในประเทศจอร์แดน ที่อยู่ทางตอนเหนือ
นอกจากกลุ่มของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่มีกำแพงติดกันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองแล้ว อีกแลนด์มาร์กสำคัญในเขตเมืองเก่าคือ Musa Bin Nusayr Castle โบราณสถานที่สมบูรณ์ที่สุดที่เหลืออยู่ในเมืองเขตเก่าอัลอูลา โดบปราสาทแห่งนี้ย้อนอายุไปได้ราว 600 ปีก่อนคริสตกาล สร้างจากหินทรายสีแดงมีขนาดความสูงถึง 45 เมตร ไม่ต่างจากเนินเขาเตี้ยๆ และจากด้านบนของ Musa Bin Nusayr Castle นักท่องเที่ยวสามารถชมเมืองเก่าอัลอูลาที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาได้แบบพาโนรามาสวยอลังการ และจากมุมสูงนี้เองที่ทำให้เห็นเอกลักษณ์ของบ้านเรือนในเขตเมืองเก่าที่กำแพงบ้านแต่ละหลังเชื่อมติดกันดั่งป้อมปราการป้องกันเมือง สะท้อนถึงวิธีการป้องกันตัวเองของชุมชนในยุคอดีต โดยรอบตัวเมืองมีประตูเมืองถึง 14 ประตูเปิดรับผู้มาเยือนเข้าสู่อาณาเขตเมืองในตอนเช้า และปิดประตูเมืองในตอนเย็น ปัจจุบันเขตเมืองเก่ากลายเป็นเขตอนุรักษ์และเปิดให้ท่องเที่ยว ส่วนย่านที่อยู่ของคนท้องถิ่นอาศัยย้ายไปอยู่ในย่านเมืองใหม่ที่อยู่ใกล้กัน
![อัลอูลา](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-4.jpg)
02เมืองโบราณเฮกรา (Hegra Historical City)
เมืองโบราณเฮกรา (Hegra หรือชื่อภาษาอาหรับ Al-Hijr / Mada’in Salih) เป็นเมืองแห่งอารยธรรมยุคราช อาณาจักรแนบาเทีย (Nabataean Kingdom) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของนครเพตรา มหานครแห่งอารยธรรมแนบาเทียซึ่งเป็นที่ตั้งปราสาทหินทรายสีชมพูอันเลื่องชื่อในเขตประเทศจอร์แดนปัจจุบัน
เฮกรา ถือเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งแรกของ ซาอุดีอาระเบีย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 2008 และเป็นสถานที่ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในอัลอูลา ตัวเมืองโบราณเฮกรามีพื้นที่ 52 เฮกตาร์ มีหลักฐานว่ามีคนอาศัยอยู่ตั้งแต่เมื่อกว่า 2,200 ปีก่อน และเจริญรุ่งเรืองสุด ๆ ในช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง 200 ปีหลังคริสตกาล ส่วนปัจจุบันสิ่งที่หลงเหลือเป็นมรดกที่ชวนตื่นตา ได้แก่ สถาปัตยกรรมสลักหินหรือภูเขาหินซึ่งกระจัดกระจายอยู่กลางทะเลทราย สันนิษฐานว่าสถาปัตยกรรมสลักจากหินเป็น “สุสานของชนชั้นปกครอง” สมัยอาณาจักรแนบาเทียและที่น่าทึ่งก็ทีสุสานเหล่านี้มีมากกว่า 111 แห่ง แต่ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์มีราว 94 แห่ง โดดเด่นด้วยการตกแต่งสลักเสลาลวดลายหน้าประตูบนภูเขาหินทรายขนาดใหญ่อย่างวิจิตร
![อัลอูลา](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-26.jpg)
สุสานหินเหล่านี้คาดว่าสร้างในราว 100 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงช่วงคริสตศตวรรษแรก โดยศิลปะที่สะท้อนอยู่บนหินทรายบอกได้ถึงอิทธิพลหลายอารยธรรมทั้ง อัสซีเรียน อียิปต์ ฟินีเชียน กรีก และมีอักขระที่เป็นภาษาลิยัน ทามูดิก นาบีเชียน กรีกละติน รวมทั้งยังพบจารึกอักขระบนผาหินและมีภาพวาดในถ้ำสะท้อนวิถีวิชีวิตคนยุคนั้นด้วย นอกจากสุสานแล้วในอาณาบริเวณเมืองโบราณเฮกรามีบ่อน้ำโบราณและทางระบายน้ำก่อด้วยหินเป็นระบบระเบียบ สะท้อนความเจริญจากความเชี่ยวชาญของผู้คนยุคนั้นที่มีภูมิปัญญาในการจัดการน้ำสำหรับใช้ในทะเลทรายที่ร้อนแล้งเช่นนี้
อารยธรรมแนบาเทียร่วมสมัยกับอาณาจักรโรมันช่วงท้าย เห็นได้จาก ซากป้อมปราการป้องกันเมือง ประตูเมือง และหอคอย ที่ล้อมรอบตัวเมืองโบราณเฮกรา บ่งชี้ว่าเฮกราคือดินแดนใต้สุดของอาณาจักรโรมัน หลังจากที่อาณาจักรโรมันเอาชนะราชอาณาจักรแนบาเทียในคริสตศักราช 106
![อัลอูลา](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-2.jpg)
03 ปราสาทแห่งความเดียวดาย (Tomb of Lihyan Son of Kuza)
ในบรรดาสุสานหินกลางทะเลทรายเมื่อ 1,000 ปีก่อนคริสตกาลที่ย่านสุสานหิน Mada’in Salih ในอาณาเขตเมืองโบราณเฮกรานั้น “สุสานของบุตรแห่งคูซา” (Tomb of Lihyan Son of Kuza) หรือฉายา ปราสาทแห่งความเดียวดาย (The Lonely Castle แปลจากภาษาอาหรับ Qasr Al Farid) ถือเป็นไฮไลต์ของสุสานหินที่สลักจากภูเขาหินทรายทั้งลูก เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมแบบแนบาเทีย (Nabataean อารยธรรมที่สร้างนครเพตรา) ที่โดดเด่นตั้งตระหง่านอยู่ในอาณาบริเวณของเมืองมรดกโลกเฮกรา จากปริศนาในกรรมวิธีการสลักเสลาหน้าผาหินจากส่วนบนลงล่าง เป็นสุสานของชนชั้นผู้ปกครอง ในยุคอารยธรรมของชาวนาบาเทียนและชาวลิยัน ช่วงอาณาจักรแนบาเทียและลิยันรุ่งเรือง จุดนี้ยังเป็นแลนด์มาร์กของการท่องเที่ยวที่ในบางโอกาสมีการจัดแสดงแสงสีเหนือสุสานให้นักท่องเที่ยวได้ชมเป็นไฮไลต์ของทัวร์มรดกโลกเมืองโบราณเฮกราด้วย
![อัลอูลา](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-8.jpg)
04 ดาดัน (Dadan)
ใจกลางเขตโอเอซิสกลางหุบเขาคือเมืองโบราณดาดัน ซึ่งประกอบด้วยโบราณสถานและหลักฐานที่แสดงที่ตั้งของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรดาดัน (Kingdom of Dadan) ช่วงราว 800-900 ปีก่อนคริสตกาล อีกทั้งพื้นที่ตรงนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงของอาณาจักรลิยัน (Kingdom of Lihyan) ช่วงราว 500-200 ปีก่อนคริสตกาล
![อัลอูลา](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-7.jpg)
กล่าวได้ว่าอารยธรรมดาดันเป็นอารยธรรมเก่าแก่ของดินแดนอาหรับโบราณ และเป็นอารยธรรมเก่าที่สุดที่ค้นพบหลักฐานการดำรงอยู่ในเมืองอัลอูลา ไฮไลต์ในเมืองดาดันคืองานแกะสลักภูเขาหินทรายสีแดงขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า สุสานสิงโต หรือ Lion’s Tombs ซึ่งมีบันไดจากพื้นราบขึ้นไปสู่ตัวสุสานด้านบน สันนิษฐานว่าสุสานหินสีน้ำตาลแดงที่สลักเป็นรูปสิงโต 2 ตัวอยู่ด้านหน้าทางเข้าของปราสาทที่ใหญ่โตเป็นภูเขากลางที่ราบนี้น่าจะเป็นสุสานของชนชั้นผู้ปกครองอาณาจักรสมัยนั้น
![](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-24.jpg)
05 ห้องสมุดกลางแจ้งบนภูเขายามาล อิกมะห์ (Jabal Ikmah)
จารึกบนผาหินขนาดใหญ่สามารถพบเจอได้ทั่วเมืองอัลอูลา มีทั้งตัวอักขระโบราณหลากหลายภาษา จารึกบางชิ้นสามารถย้อนไปได้ไกลถึงยุคก่อนเกิดภาษาอาหรับ ตอกย้ำความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของอัลอูลา โดยจารึกบนผาหินที่สำคัญได้แก่บริเวณ ภูเขายามาล อิกมะห์ (Jabal Ikmah) ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองโบราณดาดัน ด้วยความที่บริเวณภูเขายามาล อิกมะห์พบจารึกบนผาหินจำนวนมาก ภูเขายามาล อิกมะห์จึงได้ฉายาว่า ห้องสมุดกลางแจ้ง เป็นห้องสมุดขนาดมหึมาที่มีการจารึกบนผาหินด้วยอักขระกว่าหลายร้อยตัวผสมผสานกับงานสลักหินเป็นรูปต่าง ๆ เป็นทางยาว เล่าเรื่องราวสะท้อนพิธีกรรม เช่น ภาพเครื่องดนตรี รูปร่างมนุษย์และสัตว์ สะท้อนวิถีชีวิตชาวลิยันและชาวดาดัน ที่ก่อร่างสร้างอารยธรรมในแถบนี้เมื่อราว 1,000 ปีก่อนคริสตกาล
![](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-23.jpg)
06 ประติมากรรมแท่งหินทราย (Rock Formations)
ในอาณาเขตอัลอูลามีงานประติมากรรมขนาดใหญ่เป็นแท่งหินทรายขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และกระจายอยู่กลางทะเลทราย ประติมากรรมหินทรายเหล่านี้เกิดจากการกัดกร่อนตามธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นลม ฝน น้ำแดด จนได้เป็นรูปทรงแปลกตาชวนให้จินตนาการ และบางส่วนก็เป็นจุดตั้งแคมป์สำหรับนักท่องเที่ยว ไฮไลต์คือ หินรูปช้าง (Elephant Rock) หรือในภาษาอาหรับเรียกว่า Jabal AlFil ที่รูปร่างเหมือนช้างขนาดใหญ่สูง 52 เมตร เป็นจุดถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกที่อลังการมาก
![](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-22-1.jpg)
หรืออย่าง หินรูปทรงซุ้มโค้ง (The Arch) เป็นหินที่เป็นซุ้มประตูโค้งสามารถเดินลอดด้านล่างได้ แต่อีกมุมก็มองเหมือนเส้นโค้งกำลังทอดยาวพาดผ่านท้องฟ้าเหมือนรุ้งกินน้ำจึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าหินสายรุ้ง (Rainbow Rock) นอกจากนั้นยังมี หินเต้นระบำ (Raqasat หรือ Dancing Rocks) อยู่ที่ Ragasat Valley มีลักษณะเป็นหินกลางทะเลทรายที่ถูกลมและน้ำกัดกร่อนแบบแกรนด์แคนยอน ลักษณะของแท่งหินสูงที่เรียงรายกันเองเอียงเหมือนท่าทางคล้ายคนกำลังเต้นรำอยู่กลางหุบเขาอย่างไรอย่างนั้น
![](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-10.jpg)
07 มุสตาติล (Mustatil)
มุสตาติล (Mustatil) ในภาษาอาหรับแปลว่า สี่เหลี่ยมผืนผ้า นี่คือสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในอัลอูลา เป็นซากโบราณคดีในรูปแบบอนุสรณ์สถานที่เกิดจากการนำหินมาเรียงต่อกันเป็นเส้นกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดมหึมาเท่าสนามฟุตบอล 5 สนาม มองจากมุมสูงจึงจะเห็นถึงความยิ่งใหญ่จากการตรวจสอบอายุทางโบราณคดี มุสตาติลมีความเก่าแก่กว่าราว 7,200 ปี (ยุคหินใหม่ตอนปลาย หรือ Late Neolithic) เก่ากว่าเสาหินสโตนเฮนจ์ที่สหราชอาณาจักรซึ่งมีอายุราว 5,000 ปี และมาก่อนมหาพีระมิดในอียิปต์ที่มีอายุราว 4,800 ปี
![](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-9.jpg)
(ภาพ : Royal Commission for AlUla)
มุสตาติล อนุสาวรีย์สี่เหลี่ยมผืนผ้ากลางทะเลทรายแห่งนี้เก่าแก่กว่าและเกิดก่อนอารยธรรมของชาวนาบิเทียนที่สลักเสลาหินมหึมาเป็นอาคารใช้สอยในเมืองโบราณเฮกราเสียอีก สันนิษฐานว่ามุสตาติลถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญของมนุษย์สมัยโบราณ มุสตาติลที่ถูกค้นพบในอัลอูลามีมากกว่า 1,000 แห่ง มองเห็นได้จากมุมมองจากเครื่องบิน และเป็นหนึ่งใน “จุดดึงดูด” ที่ทางการซาอุดีอาระเบีย จัดเป็นส่วนหนึ่งของการชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งในอัลอูลานอกจากนี้การค้นพบมุสตาติล หลักฐานโครงสร้างเก่าแก่ที่สุดในการประกอบพิธีกรรมของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์กลางทะเลทราย ซาอุดีอาระเบีย เป็นผลงานสร้างชื่อและเป็นงานที่สถาบันวิจัยแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียให้ความสำคัญมาก
![ซาอุดีอาระเบีย](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-20.jpg)
08 ตึกกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก (MARAYA)
ณ กลางทะเลทรายหุบเขาอัชชาร์ (Ashar Valley) สิ่งก่อสร้างใหม่ที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีแค่การต่อยอดแรงบันดาลใจจากหินทราย หรืออิงสถาปัตยกรรมตามอารยธรรมโบราณประจำถิ่นเท่านั้น แต่ที่อัลอูลายังมีอาคารยุคมิลเลนเนียมสุดโมเดิร์นที่ชื่อ มารายา (MARAYA) ตั้งอยู่ที่หุบเขาอาชาร์ที่มีแท่งหินรูปทรงต่าง ๆ เดินทางด้วยรถยนต์จากเขตเมืองโบราณเฮกราแค่ราว 15 นาที
MARAYA เป็นภาษาอาราบิก แปลว่า กระจก แนวคิดในการก่อสร้างที่ใช้วัสดุค่อนข้างแตกต่างจากอาคารทั่วไปในเมืองมาจากสถานะตามประวัติศาสตร์ของอัลอูลาที่เป็นจุดนัดพบทางอารยธรรมต่าง ๆ มากว่าหลายพันปีตัวอาคารถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นแลนด์มาร์กของอัลอูลา ในแง่การสร้างสรรค์งานด้านวัฒนธรรม โดยรัฐบาลซาอุดีอาระเบียมอบหมายงานออกแบบให้ Florian Boje สถาปนิกและนักออกแบบชาวอิตาลีแห่งบริษัท Giò Forma
![ซาอุดีอาระเบีย](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-19.jpg)
![ซาอุดีอาระเบีย](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-21.jpg)
MARAYA โดดเด่นด้วยตัวอาคารรูปทรงกล่องลูกบาศก์ติดกระจกทั้งหลัง มีพื้นที่ 9,740 ตารางเมตรและได้รับการบันทึกจากกินเนสส์บุ๊กเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2020 ให้เป็นอาคารกระจกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และด้วยความที่ตัวอาคารติดกระจกใสทั้งหลังตั้งอยู่กลางทะเลทรายที่มีแต่พื้นทรายและภูเขาหินน้ำตาลแดง MARAYA จึงไม่ต่างจากชิ้นงานศิลปะอินสตอเลชันอาร์ตที่สะท้อนเงาของทิวทัศน์ภูเขาแท่งหินที่อยู่รายรอบ
นอกจากนี้ด้านในอาคารยังเป็นสถานที่สำหรับจัดแสดงงานศิลปะ คอนเสิร์ตรองรับได้ 550 ที่นั่งโดยศิลปินระดับสากลที่เคยจัดแสดงที่นี่ได้แก่อันเดรอาโบเชลลี (Andrea Bocelli) ไลโอเนลริชชี (Lionel Richie) และยานนี (Yanni) นอกจากนี้ยังรองรับการจัดงานประชุมระดับโลก รวมถึงรับจัดงานแต่งงานในระดับวีไอพี นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารไฟน์ไดนิงสุดหรูถึง 3 ร้านอยู่ในอาคาร ส่วนชั้นดาดฟ้าเปิดโล่งรับลมทะเลทราย สามารถมองเห็นวิวธรรมชาติของอัลอูลาได้สุดสายตาและเห็นดาวเต็มฟ้าเหนือทะเลทรายในยามค่ำคืน
![ซาอุดีอาระเบีย](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-5.jpg)
09 สถาบันวิจัย The Kingdoms Institute
บอกเลยว่าที่นี่คือสถาบันวิจัยที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยติดอันดับโลก โดยตัวสำนักงานตั้งอยู่ใจกลางทะเลทรายใน อัลอูลา แม้จะเป็นสิ่งก่อสร้างใหม่ แต่กลับกลมกลืนด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ใช้หินทรายตามแบบดั้งเดิมและเป็นเอกลักษณ์ของเมือง
โครงการสร้างสถาบันวิจัย The Kingdoms Institute เปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2020 จัดตั้งขึ้นด้วยการสนับสนุนจาก Royal Commission for AlUla (RCU) โดย RCUโดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางวิชาการและแหล่งรวมวัฒนธรรมทั้งองค์ความรู้ การสำรวจ และทำงานด้านการศึกษา มุ่งเป็นศูนย์กลางของโลกด้านการวิจัยทางโบราณคดีและการอนุรักษ์ เน้นงานวิจัยที่นำไปสู่การขยายขอบเขตความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ในพื้นที่ โดยงานวิจัยโดดเด่นล่าสุดคือ โครงการวิจัยทางโบราณคดีทั่วเมืองอัลอูลา ซึ่งรวมถึงการค้นพบมุสตาติล สิ่งก่อสร้างหินยุคอารยธรรมมนุษย์ยุคหินใหม่อายุกว่า 7,000 ปี
![ซาอุดีอาระเบีย](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-11.jpg)
ตัวอาคารสำนักงานสร้างด้วยโครงสร้างหินทรายสีแดงบนพื้นที่ 28,857 ตารางเมตรตั้งอยู่ในเขตดาดันของเมืองอัลอูลาหินทรายสีแดงและสถาปัตยกรรมจะสะท้อนถึงอารยธรรมดาดัน (Dadan) โดยขณะนี้ตัวสำนักงานยังอยู่ในขั้นตอนของการก่อสร้างกำหนดเปิดใช้งานในปี ค.ศ. 2030 แต่ระหว่างนั้นทางสถาบันก็ยังคงทำงานในฐานะองค์กรวิจัย ภายใต้การดูแลของ RCU อย่างต่อเนื่อง โดยมีนักโบราณคดีกว่า 100 ชีวิตของสถาบันได้ลงมือสำรวจ ขุดค้น และศึกษาทั่วเมืองอัลอูลาแผนระยะยาวของ RCU คือการพัฒนาเศรษฐกิจและเมืองด้วยความระมัดระวัง รับผิดชอบ และยั่งยืน พร้อมกับอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติในพื้นที่ ตลอดจนส่งเสริมให้เมืองอัลอูลาเป็นจุดหมายปลายทางการอยู่อาศัย ทำงาน และท่องเที่ยว
เป้าหมายเหล่านี้ก่อให้เกิดโครงการมากมายทั้งในด้านโบราณคดี การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การศึกษา และศิลปะ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการตอบสนองต่อความหลากหลายทางเศรษฐกิจ การสร้างพลังให้แก่ชุมชน และการอนุรักษ์มรดกตกทอดตามวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบียโดยงานของสถาบันถูกถ่ายทอดผ่านสารคดีชุด Architects of Ancient Arabia ทางช่อง Discovery Channel https://bit.ly/3GBvqVX
![ซาอุดีอาระเบีย](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-3.jpg)
10.โอเอซิสแห่งอัลอูลา
บริเวณใจกลางทะเลทรายของอัลอูลาคือที่ตั้งของหุบเขาอัลลูลาซึ่งมีพื้นที่ที่เรียกว่า Wadi Al-Qura หรือ ดินแดนแห่งหมู่บ้านในหุบเขา (Valley of Villages) เป็นโอเอซิสกลางทะเลทราย แหล่งเพาะปลูกพืชผลประจำท้องถิ่น ทั้งข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต สวนมะกอก และไร่มะเดื่อ โอเอซิสแห่งนี้ชุ่มฉ่ำด้วยลำธารตามธรรมชาติ มีบ่อน้ำพุร้อนจากใต้ดิน ป่าอินทผลัมหลากหลายสายพันธุ์รวมทั้งพันธุ์บาร์นิ (Barni Date)ที่ขึ้นชื่อที่สุดในท้องถิ่นนี้
![ซาอุดีอาระเบีย](https://www.sarakadeelite.com/wp-content/uploads/2022/02/AlUla-18.jpg)
(ภาพ: Royal Commission for AlUla)
ไฮไลต์ของพรรณไม้ในโอเอซิสที่ถูกดึงมาเป็นจุดขายการท่องเที่ยวล่าสุด คือ มะรุมอาหรับ (Moringa Peregrina) พืชดอกยืนต้นตระกูลมะรุม เป็นพืชท้องถิ่นของอัลอูลาที่มีอยู่มาก อัลอูลาจึงเป็นแหล่งผลิตน้ำมันมะรุมระดับพรีเมียมคุณสมบัติคล้ายน้ำมันอาร์แกนและให้ความชุ่มชื้นกว่ามะรุมสายพันธุ์อินเดีย ดังนั้นการเที่ยวทะเลทรายที่อัลอูลาจึงไม่ได้มีแค่ความเวิ้งว้าง หรือความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ แต่เส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตรและนิเวศของอัลอูลาและตระเวนชิมผลไม้ในฟาร์มต่าง ๆ ก็เป็นความสนุกที่ห้ามพลาด
Fact File
- อัลอูลา อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ห่างจากกรุงริยาด 1,100 กิโลเมตร รุ่มรวยด้วยมรดกของมนุษย์และธรรมชาติอันแสนมหัศจรรย์ โดยพื้นที่ขนาด 22,561 ตารางกิโลเมตรของเมืองมีทั้งโอเอซิสเขียวชอุ่ม ภูเขาหินทรายตั้งตระหง่าน เมืองโบราณ และแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของโลกอายุเก่าแก่หลายพันปี
- ชาวนาบาเทียน (Nabataeans) ที่สร้างอารยธรรมรุ่งเรืองเป็นกลุ่มสุดท้ายในแคว้นอัลลูลา ก่อนอารยธรรมอิสลามจะเกิดในคาบสมุทรอาระเบีย เป็นชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย เชี่ยวชาญการค้าคุมเส้นทางค้าขายและคุมกิจการค้าขายไม้หอมและเครื่องเทศต่าง ๆ เช่น พริกไทยสด ขิง น้ำตาล ผ้าฝ้าย ครอบคลุมพื้นที่แถบอาระเบีย จอร์แดน เมดิเตอเรเนียน อียิปต์ ซีเรียและดินแดนเมโสโปเตเมียเดิม (อิรัก-อิหร่าน)
- เมืองเฮกราเป็นเส้นทางผ่านการค้าที่สำคัญแต่โบราณ เมืองชายแดนใต้สุดของอาณาจักรแนบาเทียรุ่งเรืองมาตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 1 จึงถูกยึดครองโดยอาณาจักรโรมัน และอัตลักษณ์ของชนเผ่านาบาเทียนสาบสูญไป จนกระทั่งนักโบราณคดีชาวสวิสได้ค้นพบ นครเพตรา ที่จอร์แดน เมื่อปี ค.ศ. 1812 เปิดตาให้ชาวตะวันตกได้เห็นหลักฐานความรุ่งเรืองของอารยธรรมแนบาเทีย และภาพของนครเพตราในเขตแดนของประเทศจอร์แดนถูกส่งต่อไปทั่วโลก ผ่านความนิยมของภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง Indiana Jones and the Last Crusade ออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 1989
- แผนงานอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอัลอูลาอยู่ในความรับผิดชอบของ Royal Commission for AlUla (RCU) ที่ก่อตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาแห่งอาณาจักรซาอุดีอาระเบียในเดือนกรกฎาคมค.ศ.2017 เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาเมืองอัลอูลาในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ
อ้างอิง
- www.experiencealula.com
- https://whc.unesco.org/en/list/1293/gallery/
- https://www.smithsonianmag.com/travel/hegra-ancient-city-saudi-arabia-untouched-for-millennia-makes-its-public-debut-180976361/
- https://www.multivu.com/players/uk/8889651-alula-reveals-new-global-hub-for-archaeology-the-kingdoms-institute/?fbclid=IwAR3g8EWKkH3RVGRlh_JVFOKx1p-hWqS8F69rWU1jS0m_236AYm6jl1YjuMw
- https://www.visitsaudi.com/en/see-do/destinations/alula
- https://www.lonelyplanet.com/saudi-arabia/madain-saleh-and-the-north/al-ula/attractions
- https://studylib.net/doc/25666488/alula-booklet-a5-eng-viewing-only
- https://welcomesaudi.com/activity/tomb-of-lihyan-son-of-kuza-al-ula
- https://issuu.com/experience_alula/docs/maraya_brochure_english?fr=sZjI2ZDE1Mjk3NTI
- https://www.youtube.com/watch?v=z8A0LpX7_yM
- https://ucl.rcu.gov.sa/
![](/wp-content/uploads/2019/12/logo-greyscale-1.png)