Grand Egyptian Museum พิพิธภัณฑ์อารยธรรมอียิปต์โบราณที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในโลก
Brand Story

Grand Egyptian Museum พิพิธภัณฑ์อารยธรรมอียิปต์โบราณที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในโลก

Focus
  • Grand Egyptian Museum (GEM) พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมและจัดแสดงหลักฐานวัตถุพยานทางโบราณคดีของอารยธรรมอียิปต์โบราณที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์
  • ตัวพิพิธภัณฑ์มีทั้งส่วนที่เป็นพื้นที่จัดแสดงบนดิน และไล่ระดับความลึกลงไปใต้ดินประหนึ่งกำลังเดินอยู่ในพีระมิด  ตัวอาคารเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมอันเป็นไอโคนิกของพีระมิด

หลังจากรอคอยมากว่า 20 ปี ในที่สุด Grand Egyptian Museum (GEM) พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมและจัดแสดงหลักฐานวัตถุพยานทางโบราณคดีของอารยธรรมอียิปต์โบราณที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในโลก ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ก็มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2025 กับการจัดแสดงโบราณวัตถุกว่า 100,000 ชิ้น ตั้งแต่ยุคก่อนราชวงศ์หรือก่อนมีฟาโรห์ จนกระทั่งถึงยุคกรีก-โรมัน

Grand Egyptian Museum
บรรยากาศค่ำคืนเปิดพิพิธภัณฑ์ (ภาพ : GEM)

ความโดดเด่นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เริ่มจากความยิ่งใหญ่ของโครงสร้างสมชื่อ Grand Egyptian Museum โดยมีทั้งส่วนที่เป็นพื้นที่จัดแสดงบนดิน และไล่ระดับความลึกลงไปใต้ดินประหนึ่งกำลังเดินอยู่ในพีระมิด  ตัวอาคารเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมอันเป็นไอโคนิกของพีระมิด ทำให้พิพิธภัณฑ์กลมกลืนไปกับพีระมิดและโบราณสถานอายุนับพันปีที่รายล้อมโดยเฉพาะมหาพีระมิดกีซา (Giza Plateau) ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน

บรรยากาศภายนอกพิพิธภัณฑ์ (ภาพ : GEM)

รัฐบาลอียิปต์ประกาศสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ที่ทำหน้าที่ทั้งจัดแสดงและอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ไอยคุปต์ที่ยิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในโลกใน ค.ศ. 2002 ด้วยงบประมาณเบื้องต้นราว 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  และในปีถัดมาได้มีการประกวดออกแบบก่อสร้างและบริษัทที่ชนะการประกวดคือบริษัท Heneghan Peng Architects  พิพิธภัณฑ์เริ่มก่อสร้างใน ค.ศ. 2005  แต่มีการหยุดชะงักด้วยเหตุผลหลายอย่างทั้งด้านสิ่งแวดล้อม งบประมาณ และความไม่มั่นคงทางการเมือง รวมไปถึงเหตุการณ์อาหรับสปริงใน ค.ศ. 2011 ตามด้วยเหตุการณ์รัฐประหารใน ค.ศ. 2013 และการระบาดของโควิด 19 จากนั้นจึงได้กลับมาก่อสร้างอีกครั้ง  โครงการครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 500,000 ตารางเมตร หรือเทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 70 สนาม และงบประมาณในการก่อสร้างขยับสูงขึ้นถึงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 32,000 ล้านบาท

บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์ (ภาพ : GEM)

สิ่งที่พิเศษสุดและหาดูไม่ได้จากพิพิธภัณฑ์อื่นคือ การจัดแสดงสมบัติทั้งหมดจำนวนกว่า 5,000 ชิ้น จากสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ “ตุตันคาเมน” ผู้ปูทางอียิปต์โบราณสู่ราชอาณาจักรใหม่อันเป็นยุครุ่งเรืองของอียิปต์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการจัดแสดงสิ่งของเกี่ยวกับฟาโรห์หนุ่มไว้มากที่สุดนับตั้งแต่สุสานของพระองค์ถูกขุดค้นพบโดย โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) นักโบราณคดีชาวอังกฤษ เมื่อ ค.ศ. 1922 โดยก่อนหน้านี้มีเพียงประมาณ 1,800 ชิ้น ที่เคยถูกนำออกมาจัดแสดง

บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์ (ภาพ : Heneghan Peng Architects)
บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์ (ภาพ : Heneghan Peng Architects)

นอกจากแกลลอรีของฟาโรห์ตุตันคามุน ยังมีการจัดแสดง เรือพิธีศพของฟาโรห์คูฟู (Khufu) อายุราว 4,500 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือที่เก่าแก่และคงสภาพดีที่สุดจากยุคโบราณ  ซึ่งฟาโรห์คูฟูเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สร้าง “มหาพีระมิดแห่งกีซา” (Great Pyramid of Giza) ซึ่งเป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในอียิปต์ และเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

อีกหนึ่งไฮไลต์คือ เสาโอเบลิสก์ ขนาดยาว 16 เมตร อายุราว 3,200 ปี ของฟาโรห์รามเสส ที่ 2 (Ramesses II) และรูปสลักของพระองค์ขนาดความสูง 11 เมตร ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งอยู่ที่ Ramses Square ในกรุงไคโร และได้ถูกเคลื่อนย้ายมาจัดแสดงที่นี่

ผู้ชมทั่วไปสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2025 เป็นต้นไป ซึ่งตรงกับวาระครบรอบ 103 ปีแห่งการค้นพบสุสานฟาโรห์ตุตันคามุน  ทางรัฐบาลอียิปต์คาดหมายว่าที่นี่จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่เข้ามาชมราว 20,000 คนต่อวัน หรือประมาณ 8 ล้านคนต่อปี  Sarakadee Lite ชวนไปสำรวจพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมแล้วที่จะเชื่อมโลกไอยคุปต์โบราณที่หลับใหลและอียิปต์ในอนาคตเข้าด้วยกัน

ตัวพิพิธภัณฑ์ตั้งกลมกลืนกับทะเลทราย (ภาพ : GEM)

Grand Egyptian Museumพีระมิดแห่งที่ 4 ของกีซา

Grand Egyptian Museum ตั้งอยู่ในเขต เมืองกีซา (Giza) ห่างจากกรุงไคโรเมืองหลวงของอียิปต์ราว 20 กิโลเมตร  รอบๆ พิพิธภัณฑ์เป็นที่ตั้งของกลุ่มพีระมิดอันโด่งดังแห่งกีซาที่มี 3 หลังหลัก ประกอบด้วย พีระมิดใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุดของอียิปต์ มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza) สร้างสมัย ฟาโรห์คูฟู เมื่อราว 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งตระหง่านอยู่กึ่งกลางระหว่างพีระมิดคาเฟร (Pyramid of Khafre) และพีระมิดเมนคู (Pyramid of Menkaure) รวมทั้งสิ่งก่อสร้างสุดไอคอนิกอย่างรูปปั้นสฟิงซ์ขนาดมหึมา ซึ่งนี่ทำให้ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ถูกเปรียบเป็น พีระมิดแห่งที่ 4 ของกีซา ที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษปัจจุบัน ซึ่งทางอียิปต์ภูมิใจนำเสนอการต่อยอดอดีตสู่ปัจจุบันด้วยงานสถาปัตยกรรมของตัวพิพิธภัณฑ์ที่กลมกลืนเชื่อมโยงอาคารสมัยใหม่กับโครงสร้างโบราณอันทรงคุณค่าที่ยังคงเป็นปริศนาระดับโลก

หากลากเส้นแกนจากยอดมหาพีระมิดแห่งกีซาทั้งสามมายังตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ จะเป็นรูปทรงเรขาคณิตสามเหลี่ยมแบบเดียวกับพีระมิด (ภาพ : GEM)
จากในพิพิธภัณฑ์สามารถมองเห็นวิวพีระมิดสำคัญด้านนอก (ภาพ : Heneghan Peng Architects)

จากภายในอาคารพิพิธภัณฑ์สามารถมองเห็นมหาพีระมิดแห่งกีซาได้อย่างอลังการ พร้อมมีมุมให้ชมวิวและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก (observatory deck) คู่กับพีระมิดแห่งกีซาที่ถือเป็นจุดชมวิวแห่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครได้เห็นความยิ่งใหญ่มุมนี้มาก่อน  อีกทั้งตัวพิพิธภัณฑ์เองก็ออกแบบเป็นรูปทรงพัด ที่คลี่ขยายออก แต่อยู่ในกรอบรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิด ซึ่งหากลากเส้นแกนจากยอดมหาพีระมิดแห่งกีซาทั้งสามมายังตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ ก็จะเป็นรูปทรงเรขาคณิตสามเหลี่ยมแบบเดียวกับพีระมิด สื่อความหมายของการส่งต่ออารยธรรมโบราณสู่ปัจจุบันและอนาคต

หน้ากากทองคำรูปใบหน้าของตุตันคามุน

ชมสมบัติ ฟาโรห์ตุตันคามุน” กว่า 5,000 ชิ้น

ไฮไลต์ที่โดดเด่นที่สุดภายในพิพิธภัณฑ์ คือ Tutankhamun Gallery แกลเลอรีเฉพาะของ ฟาโรห์ตุตันคามุน ยุวกษัตริย์ ฟาโรห์องค์ที่ 13 แห่งราชวงศ์ที่ 18 ยุคอาณาจักรใหม่ของอียิปต์โบราณ (ราว 1345-1327 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งห้อง Tutankhamun Galleries มีพื้นที่กว่า 7,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นส่วนจัดแสดงและจัดเก็บหลักฐานทางโบราณคดีจากสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน  เรียกได้ว่าห้องนี้เก็บรวบรวมสมบัติฟาโรห์ตุตันคามุนไว้มากที่สุดก็ได้ เพราะมีให้ชมมากกว่า 5,000 ชิ้น โดยมีนักโบราณคดีชาวอังกฤษ โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ นำทีมออกสำรวจสุสานนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 1922  

ภาพจำที่สื่อถึงความยิ่งใหญ่ของฟาโรห์ตุตันคามุนที่ถูกค้นพบจากสุสานนี้ คือหน้ากากทองคำรูปใบหน้าของตุตันคามุน ซึ่งได้ย้ายจากอียิปต์มิวเซียมมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ Grand Egyptian Museum อย่างถาวร  นอกจากนี้ยังมีบัลลังก์ของฟาโรห์ แผ่นทองสลักรูปฟาโรห์ทรงรถเทียมม้าสำหรับออกศึก และข้าวของเครื่องใช้ทำจากทองคำอีกจำนวนมาก

ข้าวของเครื่องใช้ของ ฟาโรห์ตุตันคามุนทำจากทองคำ (ภาพ : GEM)

แม้ห้อง Tutankhamun Galleries จะจัดแสดงสมบัติของฟาโรห์ตุตันคามุนมากกว่า 5,000 ชิ้น แต่มีเพียง “มัมมี่พระศพตุตันคามุน” เพียงชิ้นเดียวเท่านั้นที่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพเดิม ครอบด้วยโลงแก้วควบคุมอุณหภูมิ หลับใหลอยู่ภายในสุสานฟาโรห์ที่ Valley of the Kings เมืองลุกซอร์ ดินแดนที่เป็นแหล่งพำนักสุดท้ายของพระองค์ ซึ่งมัมมี่พระศพตุตันคามุนถูกขุดค้นพบในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1925 ตรงกับช่วง 3 ปีหลังจากพบสุสาน และถือเป็นมัมมี่ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดในบรรดามัมมี่ฟาโรห์ที่ถูกขุดค้นพบอีกด้วย

รูปปั้นเต็มตัวขนาดมหึมาของ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 (ภาพ : GEM)

ฟาโรห์รามเสสที่ 2ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอียิปต์ 

ภาพแรกๆ ที่ทาง Grand Egyptian Museum ปล่อยออกมาสู่สาธารณชน คือ ภาพรูปปั้นเต็มตัวขนาดมหึมาของ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 (Ramesses II) ความสูง 11 เมตร อายุกว่า 3,000 ปี ยืนตระหง่านต้อนรับผู้มาเยี่ยมชม ณ บริเวณแกรนด์ฮอลล์ (Grand Hall) ที่เป็นโถงต้อนรับแรกภายในอาคารพิพิธภัณฑ์หลัก โดยทางทีมนักโบราณคดีของอียิปต์ได้ร่วมกับสถาปนิก และฝ่ายวิศวกรจัดวางรูปปั้นของพระองค์ในองศาที่แสงอาทิตย์สามารถส่องกระทบใบหน้าขององค์ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ได้ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งเป็นการจำลองแบบการจัดวางมาจากต้นแบบในวิหารไอยคุปต์โบราณอายุกว่า 3,000 ปี นั่นก็คือมหาวิหารอาบูซิมเบล (Great Temple of Abu Simbel) ที่นั่นมีรูปสลักขององค์ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ขนาดใหญ่อยู่ด้านใน ซึ่งมหาวิหารอาบูซิมเบลถูกออกแบบด้วยความแม่นยำทางดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นวิทยาการอันน่าทึ่งของชาวไอยคุปต์โบราณ โดยกำหนดให้แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้าไปในห้องศักดิ์สิทธิ์ด้านในสุดของวิหาร ลึกเข้าไปถึง 60 เมตร ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ของทุกปี

การจัดวางรูปปั้นให้แสงอาทิตย์ส่องกระทบใบหน้าขององค์ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ของทุกปี (ภาพ : GEM)

สำหรับรูปปั้น ฟาโรห์รามที่ 2 อายุกว่า 3,000 ปี ที่ตั้งอยู่ใน Grand Egyptian Museum ทำจากหินแกรนิตสีแดง ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1820 ที่ Mit Rahina ใกล้กับพื้นที่ที่เคยเป็นเมืองเมมฟิสในอดีต โดยเมื่อแรกพบรูปปั้นฟาโรห์รามเสสที่ 2อยู่ในสภาพกระจัดกระจายแตกเป็นท่อนๆ  6 ชิ้น ก่อนจะถูกเคลื่อนย้ายออกมาบางชิ้นเพื่อทำการอนุรักษ์ซ่อมแซมใน ค.ศ. 1955 และสุดท้ายนำมาประกอบเป็นรูปปั้นที่สมบูรณ์ใน ค.ศ. 2018

บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์ (ภาพ : GEM)

ฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 เป็นฟาโรห์ที่ถือว่ายิ่งใหญ่ ครองราชย์ยาวนานที่สุดในอียิปต์โบราณกว่า 67 ปี (1279-1213 ปีก่อนคริสตกาล) และขยายอาณาจักรและการค้าขายกับนานาชาติทั้งทางบกทางทะเล สร้างความมั่งคั่งและถือเป็นยุคทองของอียิปต์อย่างแท้จริง

โครงสร้างภายนอกพิพิธภัณฑ์ (ภาพ : GEM)

ลวดลายสามเหลี่ยม สัญลักษณ์พีระมิดเชื่อมอดีตสู่ปัจจุบัน

สำหรับแนวคิดหลักของการออกแบบอาคาร Grand Egyptian Museum ทางทีมสถาปนิกจากบริษัท Heneghan Peng Architects ตั้งใจว่าจะไฮไลต์คุณค่าทางสถาปัตยกรรมและงานออกแบบของอียิปต์โบราณ ให้สามารถเชื่อมโยงกับอาคารสมัยใหม่และเทคโนโลยีใหม่ทางสถาปัตยกรรมโดยเน้นการใช้ “สามเหลี่ยม” ที่เป็นภาพจำเมื่อเอ่ยถึงพีระมิดหรือไอยคุปต์

ทางเข้าอาคารพิพิธภัณฑ์สลักลวดลายอักษรเฮียโรกลิฟิก (ภาพ : GEM)

ด้านหน้าของอาคารจึงใช้เรขาคณิตทรงสามเหลี่ยม อีกทั้งลวดลายผนังด้านนอกก็เป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ สัญลักษณ์ของพีระมิดนำมาประกอบกัน  มุกด้านหน้าอาคารหรือฟาซาดที่อยู่เหนือประตูทางเข้าอาคารพิพิธภัณฑ์สลักลวดลายอักษรเฮียโรกลิฟิกจารึกชื่อของบรรดาฟาโรห์และราชินีผู้ยิ่งใหญ่ของไอยคุปต์โบราณ

เสาโอเบลิสก์ (ภาพ : GEM)

เสาโอเบลิสม์ จัดวางใหม่ในแบบแขวนที่เดียวในโลก

บริเวณ จตุรัสโอเบลิสก์” (Hanging Obelisk Square) ขนาด 28,000 ตารางเมตร ซึ่งอยู่บริเวณด้านนอกก่อนทางเข้าพิพิธภัณฑ์เป็นที่ติดตั้งของ เสาโอเบลิสก์ (Obelisk)” ขนาดความยาว 16 เมตร อายุราว 3,200 ปี เป็นเสาที่สกัดจากแท่งหินท่อนเดียว สร้างสมัยฟาโรห์รามเสสที่ 2  เสานี้เป็นบันไดเชื่อมระหว่างโลกกับสวรรค์ เชื่อมระหว่างมนุษย์และทวยเทพ  จุดที่มีเสาโอเบลิสก์ติดตั้งจึงถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการประกอบพิธีกรรมและพิธีการสำคัญในการบูชาและขอพรจากทวยเทพต่างๆ

Grand Egyptian Museum
เสาโอเบลิสก์ไฮไลต์พิธีเปิด (ภาพ : GEM)

เสาโอเบลิสก์ต้นนี้ถือเป็นหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นแรกที่คนมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์จะได้เห็น ก่อนเข้าสู่ห้องแสดงงานอื่นๆ ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์  ความพิเศษของเสาต้นนี้คือเป็น เสาโอเบลิสก์แบบแขวน (Hanging Obelisk) ที่ไม่ได้ฝังอยู่กับพื้นดิน แต่ใช้วัสดุเหล็กกล้ายึดเสาให้ลอยขึ้นและเปิดโล่งให้ผู้ชมได้เห็นเสาทั้งต้นตั้งแต่โคนเสาถึงยอดเสาซึ่งมีการสลักจารึกอักษรภาพไว้ โดยเสาต้นนี้ได้สลักชื่อฟาโรห์รามเสสที่2 ตรงตามรูปแบบราชลัญจกรของฟาโรห์ด้านข้างโคนเสาอย่างชัดเจน ถือเป็นเสาโอเบลิสก์ต้นเดียวในโลกที่ติดตั้งแบบแขวนลอยจากพื้น  ทั้งนี้ในบริเวณจตุรัสโอเบลิสม์ยังมีการเขียนอักษรคำว่า “อียิปต์” ในภาษาต่างๆ ทั่วโลกเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนจากต่างแดนและแน่นอนว่ามีภาษาไทยด้วย

Grand Egyptian Museum
การเคลื่อนย้ายเรือพิธีศพของฟาโรห์คูฟูเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์
(ภาพ : Ministry of Tourism and Antiquities )

“เรือพิธีศพของฟาโรห์คูฟูผู้สร้างมหาพีระมิดแห่งกีซา

อีกไฮไลต์ห้ามพลาดคือ เรือพิธีศพของฟาโรห์คูฟู (Khufu’s Solar Boat) อายุราว 4,500 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือที่เก่าแก่และคงสภาพดีที่สุดจากยุคโบราณ  ฟาโรห์คูฟูเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สร้าง “มหาพีระมิดแห่งกีซา (Great Pyramid of Giza)” ซึ่งเป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในอียิปต์ และเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

เรือพิธีศพของฟาโรห์คูฟู ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เป็นเรือโบราณในสภาพสมบูรณ์เต็มลำ มีขนาดความยาว 43.6 เมตร กว้าง 5.9 เมตร ขุดค้นพบที่ข้างฐานมหาพีระมิดอียิปต์ของกีซาเมื่อ ค.ศ. 1954  สันนิษฐานว่าสร้างโดยฟาโรห์คูฟู กษัตริย์องค์ที่ 2 ของราชวงศ์ที่ 4 แห่งอาณาจักรเก่า (Old Kingdom of Egypt) เป็นเรือบรรทุกสมบัติต่างๆ สำหรับผู้วายชนม์เพื่อนำไปใช้ในโลกหลังความตายตามความเชื่อของอียิปต์โบราณ  เรือลำนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานไม้ระดับมาสเตอร์พีซทำจากไม้สนซีดาร์และปัจจุบันยังสามารถล่องในทะเลสาบและแม่น้ำใหญ่ได้จริง

Grand Egyptian Museum
(ภาพ : GEM)

วิถีชีวิต “สังคมอียิปต์โบราณ”

นอกจากสมบัติของฟาโรห์และเรื่องราวของทวยเทพต่างๆ แล้ว พิพิธภัณฑ์ Grand Egyptian Museum ยังจัดแสดงเรื่องราวของชนชั้นต่างๆ ในสังคมอียิปต์โบราณ เช่น รูปปั้นของ Mitri นักบวชและผู้ว่าการแห่ง Maat ในท่านั่งเขียนหนังสือ เป็นงานสลักไม้ เป็นรูปปั้นลงสี และใช้เทคนิคการใส่ลูกแก้วจากแร่ควอตซ์ในดวงตาของรูปปั้น ที่แสดงถึงผลงานประติมากรรมชั้นเยี่ยมในยุคอาณาจักรเก่าของอียิปต์โบราณราว 5,000 ปีก่อน และยังเล่าเบื้องหลังสังคมอียิปต์ที่เชื่อในเรื่องความสำคัญของการศึกษา ทำให้ชนชั้นที่เป็นนักบวชมีการศึกษาได้รับอภิสิทธิ์และได้รับการยกย่องให้เกียรติจากทุกชนชั้น

Grand Egyptian Museum
(ภาพ : GEM)

หรืออย่างวัฒนธรรมการแสดงความรักและให้คุณค่าเรื่องความรักในรูปปั้นคู่ของ Meryre ผู้เป็นสามีและ Iniuy ภรรยาของเขา  มือของฝ่ายภรรยาโอบไหล่สามี เป็นศิลปะจากยุคราชวงศ์ที่ 18 (ยุคของฟาโรห์ตุตันคามุน) แสดงออกถึงความอ่อนโยน ความรักและชื่นชมต่อกัน เป็นต้น

Grand Egyptian Museum
ความตั้งใจดึงแสงธรรมชาติมาใช้ในพิพิธภัณฑ์ผ่านงานดีไซน์ผนังและเพดาน
(ภาพ : Heneghan Peng Architects)

พิพิธภัณฑ์สีเขียว Carbon Neutral Museum

Grand Egyptian Museum จัดเต็มทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ไอยคุปต์และแนวคิดยั่งยืน ตั้งเป้าเป็น Carbon Neutral Museum และเป็นต้นแบบพิพิธภัณฑ์สีเขียว (Green Museum)  เริ่มจากตัวอาคารสีเขียวที่ได้รับมาตรฐานการรับรอง EDGE Advanced Green Building Certification สามารถประหยัดต้นทุนพลังงานได้กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับอาคารขนาดใหญ่ทั่วไป  ติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ของทะเลทรายเป็นพลังงานไฟฟ้า  ทั้งยังมีเทคโนโลยีหลังคาที่ช่วยลดความร้อนจากทะเลทรายโดยเฉพาะ  และที่น่าสนใจคือการออกแบบหลังคาที่เปิดให้แสงธรรมชาติเป็นแหล่งให้ความสว่างแก่พื้นที่ต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์  การบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ตามหลักการลดคาร์บอน เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและกลมกลืนกับบรรยากาศของทะเลทรายโดยรอบรวมทั้งมีการเพิ่มพื้นที่สวนสีเขียวรอบพิพิธภัณฑ์อีกด้วย

Grand Egyptian Museum
Grand Egyptian Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีเส้นทางเรียนรู้สำหรับเด็กโดยเฉพาะ
(ภาพ : GEM)

Fact File

  • Grand Egyptian Museum มีโซนเรียนรู้สำหรับเด็กโดยเฉพาะ พร้อมบริการห้องสมุดเกี่ยวกับไอยคุปต์โบราณ โรงภาพยนตร์ หอประชุมอเนกประสงค์ หอแสดงดนตรี ร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหารทั้งแบบสะดวกซื้อและภัตตาคารไฟน์ไดนิง
  • พิพิธภัณฑ์ Grand Egyptian Museum อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการท่องเที่ยวและโบราณคดี (Ministry of Tourism and Antiquities) แห่งสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ (The Arab Republic of Egypt)

Author

ทศพร กลิ่นหอม
นักเขียนสายบันเทิง สังคม ท่องเที่ยว และไลฟ์สไตล์ เคยประจำการอยู่ที่ เมเนจเจอร์ออนไลน์ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ และรายการ ET Thailand ปัจจุบันรับจ้างทั่วไป
เกษศิรินทร์ ผลธรรมปาลิต
Feature Editor ประจำ Sarakadee Lite อดีต บรรณาธิการข่าวไลฟ์สไตล์ Nation ผู้นิยมคลุกวงในแวดวงศิลปวัฒนธรรมจนได้ขุดเรื่องซีฟๆ มาเล่าสู่กันฟังเสมอ