Love Letter : เปิดสำนวนรักหวานซึ้ง ในจดหมายรักฉบับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
Faces

Love Letter : เปิดสำนวนรักหวานซึ้ง ในจดหมายรักฉบับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม

Focus
  • จดหมายรักของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เขียนขึ้นเมื่อราว พ.ศ.2458-2459 ที่จังหวัดพิษณุโลก จาก “ร้อยตรีแปลก ขีตตะสังคะ” ถึง “นางสาวละเอียด พันธุ์กระวี”
  • ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ในฐานะภริยาผู้นำประเทศมีส่วนสำคัญในการผลักดันนโยบายส่งเสริมบทบาทสุภาพสตรีในรัฐบาลจอมพล ป.

แปลก ขีตตะสังคะ หรือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างมหาศาลในชีวิตชาวสยาม ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นไทย จนถึงการกำหนดนโยบายไทยนิยม เพื่อให้ประเทศเข้าสู่ความทันสมัยเหมือนชาติตะวันตก ในช่วงยุคของ จอมพล ป. เป็นผู้นำบริหารประเทศไทย บทบาทของ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ในฐานะภริยาผู้นำก็โดดเด่นไม่แพ้กัน รวมถึงนโยบายที่ส่งเสริมบทบาทสุภาพสตรี แต่นอกเหนือจากบทบาททางการเมืองแล้ว จอมพล ป. ยังเป็นเจ้าของสำนวนบอกรักที่หวานซึ้งชวนจักจี้หัวใจไม่น้อย ดังตัวอย่างข้อความในจดหมายรักที่จอมพล ป. สมัยเป็นนายร้อยที่พิษณุโลกเขียนจีบนางสาวละเอียด ความว่า “น้องยอดรัก…ถ้าควักหัวใจมาได้จะควักให้ดู” หรือ “อยากเห็นเธอก็ได้เห็นพระจันทร์ดวงเดียวกับเธอ”

จอมพล ป.

แปลก ขีตตะสังคะ เรียนจบ ป.4 จากโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร นนทบุรี ต่อมานายขีตพ่อของเขาได้ส่ง ด.ช.แปลก วัย 12 ปี เข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นที่ 12 สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2457 ติดยศร้อยตรี ขณะอายุ 18 ปี และได้บรรจุเข้าทำงานที่กรมทหารปืนใหญ่ที่ 7 แห่งกองทัพน้อยที่ 2 มณฑลพิษณุโลก (จังหวัดพิษณุโลกในปัจจุบัน) หรือ ชื่อที่หมู่ทหารปืนใหญ่ในยุคนั้นเรียก “ปืน 7” และที่ปืน 7 นี้เอง ร้อยตรีแปลกได้พบรักกับ นางสาวละเอียด พันธุ์กระวี สาวสวยวัย 14 ปี ซึ่งกำลังเรียนและทำงานเป็นครูช่วยสอน ที่โรงเรียนผดุงนารี โรงเรียนสตรีแห่งแรกของจังหวัดพิษณุโลก ก่อตั้งและบริหารงานโดยคณะมิชชันนารีอเมริกัน

ร้อยตรีแปลก เข้าทำงานที กรมทหารปืนใหญ่ที่ 7 ในหน้าที่ครูฝึกพลทหารใหม่ และพาพลทหารผ่านหน้าโรงเรียนผดุงนารีทุกวัน วิธีจีบสาวของร้อยตรีแปลก คือ การเขียนข้อความเกี้ยวพาราสี (จีบ) เป็น “จดหมายน้อย” ฝากลูกศิษย์ไปให้ครูละเอียด
เนื้อความในจดหมายมักจะขึ้นว่า “น้องยอดรัก” และมีประโยคแสดงความรู้สึกเช่น “ถ้าควักหัวใจมาได้จะควักให้ดู” หรือ “ถ้าไม่เห็นหน้า ขอให้เห็นหลังคาบ้านทุกวัน”

จอมพล ป.

ฝ่ายนางสาวละเอียด เมื่อเจอข้อความแบบนี้ก็เกิดความตกใจ และเอาจดหมายน้อยของร้อยตรีแปลกไปให้บิดาอ่านทุกฉบับและไม่ยอมเขียนตอบแม้แต่ฉบับเดียว แต่ร้อยตรีแปลกไม่ย่อท้อ บุกไปเจอนางสาวละเอียด ตามเรื่องเล่าที่บรรยายเหตุการณ์วันเผชิญหน้าของสองหนุ่มสาวไว้ว่า

เช้าวันหนึ่งในฤดูหนาว แปลก (ร้อยตรีแปลก)ใส่เสื้อคลุมคอสีเหลือง สวมหมวกพันผ้าสีเหลือง กางเสื้อเดินยิ้มแต้เข้าไปหาครูสาวที่ยืนอยู่กับเพื่อน ทำนองว่ากั้นไม่ให้หนีไปไหนครูสาว (นางสาวละเอียด) วิ่งลอดใต้เสื้อแล้วชูกำปั้น ก่อนจะพูดใส่ร้อยตรีแปลกว่า “เดี๋ยวฉันต่อยหน้าเลย”

นายร้อยแปลกอับจนปัญญา ถึงกับต้องรีบเลี่ยงออกจากทางเดิน ปล่อยให้นางสาวละเอียดผ่านไป แต่ก็มีหวังเพราะเลยไปแล้วยังหันมายิ้มตอบเหตุการณ์นี้ถูกมาเฉลยภายหลังว่า ตอนที่นางสาวละเอียดขู่จะต่อยหน้านั้น ร้อยตรีแปลกคิดในใจว่า ผู้หญิงคนนี้ “ชะรอยจะเป็นนักรบแท้คนหนึ่งเสียแล้ว”

14 มกราคม พ.ศ. 2460 หลังจากประจำการที่พิษณุโลก 2 ปี ร้อยตรีแปลกก็ได้เข้าพิธีวิวาห์กับนางสาวละเอียด เพียงสามเดือนหลังจากนั้นร้อยตรีแปลก ก็ย้ายกลับมาพระนคร (กรุงเทพฯ) เพื่อเรียนต่อที่โรงเรียนเหล่าทหารปืนใหญ่ในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ เป็นเวลา 2 ปี จึงได้กลับพิษณุโลกและสุดท้ายจึงย้ายกลับมาประจำที่พระนคร

ต่อมาในปี พ.ศ. 2467 ร้อยตรีแปลกเลื่อนยศเป็นร้อยโทแปลก ขณะอายุ 20 ปี และมีลูก 3 คนจากนั้นเขาสอบได้ทุนต้องจากภรรยาและลูกไปศึกษาต่อที่ฝรั่งเศส แต่ระหว่างการห่างบ้าน ร้อยโทแปลกยังเขียนจดหมายถึงบ้านเดือนละ 1 ครั้ง เพราะข้อจำกัดเรื่องระยะทางและระยะเวลา เป็นการส่งทางเรือสามารถไปฝากจดหมายตามท่าเรือสำคัญข้ามทวีปมาได้ ท่านผู้หญิงละเอียดเล่าย้อนหลังไว้ว่า เธอจะมานั่งคอยรับจดหมายที่ท่าเรือ “หัวแพ” ย่านบางเขน ทุกเดือน และข้อความในจดหมายของสามีก็ยังคงสำนวนไม่แพ้สมัยส่งจดหมายน้อยจีบกันใหม่เลย ๆ อาทิ “เวลานี้ได้เห็นพระจันทร์ดวงเดียวกับเธอ อยากเห็นเธอก็ได้เห็นพระจันทร์ดวงเดียวกับเธอ”

จอมพล ป.

กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 ร้อยโทแปลกร่วมเป็นหนึ่งใน 7 แกนนำ ที่ร่วมประชุมก่อตั้ง คณะราษฎร ที่กรุงปารีส เพื่อเตรียมก่อการเปลี่ยนแปลงปกครองประเทศสยามให้เป็นประชาธิปไตยต้นปี พ.ศ. 2470 ร้อยโทแปลกกลับมารับราชการทหารต่อที่สยาม และได้เลื่อนยศเป็นร้อยเอกในปลายปีนั้น ปีถัดมาจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์และราชทินนาม “หลวงพิบูลสงคราม” จากนั้นพ.ศ.2473 ได้ติดยศพันตรีหลวงพิบูลสงคราม และนางละเอียดก็ได้มีชื่อในทางราชการว่า “นางพิบูลสงคราม”

พ.ศ.2485 ยุคที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีนโยบายส่งเสริมบทบาทสตรี ด้วยเหตุผลที่ได้ประกาศว่า “หญิงเป็นส่วนหนึ่งของชาติ ก็ควรจะได้สร้างตนและช่วยชาติด้วยในตัว… ใครจะดูว่าชาตินั้นชาตินี้เจริญเพียงใดในเมื่อผ่านไปชั่วแล่นแล้วก็มักจะตัดสินความเจริญของชาตินั้นตามความเจริญของฝ่ายหญิง” และออกคำสั่งให้สามียกย่องภรรยาตลอดเวลา ถ้าข้าราชการทะเลาะกับภรรยาถือเป็นการผิดวินัย เป็นต้น

พ.ศ.2506 ช่วงสุดท้ายของชีวิต จอมพล ป. ลี้ภัยอยู่ที่เมืองซะงะมิฮะระ (ห่างจากโตเกียว 30 กม.) ประเทศญี่ปุ่นพักฟื้นจากการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีพ.ศ.2507วันที่ 11 มิถุนายน จอมพลป.เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพักที่ญี่ปุ่นในห้วงลมหายใจสุด จอมพล ป. พูดว่า “ฉันรู้สึกจะเป็น heart attack (หัวใจวาย)” ขณะที่ท่านผู้หญิงละเอียดประคองศีรษะจอมพลป.ไว้ และพูดว่า “ไม่จริง ไม่จริง เธออย่าพูดอย่างนั้น”คำพูดสุดท้ายของจอมพลป. เขาเอ่ยออกมาว่าในอ้อมกอดของภรรยาว่า “เธอ ความตายคือความสุข” และสิ้นใจอย่างสงบด้วยวัย 67 ปี (อ้างอิงจากบันทึกโดย จีรวัสส์ ปันยารชุน บุตรสาวของ จอมพล ป. นิตยสารสารคดีมิถุนายน 2557)

ต้นเรื่อง : นิตยสารสารคดี มิถุนายน 2557


Author

ทศพร กลิ่นหอม
นักเขียนสายบันเทิง สังคม ท่องเที่ยว และไลฟ์สไตล์ เคยประจำการอยู่ที่ เมเนจเจอร์ออนไลน์ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ และรายการ ET Thailand ปัจจุบันรับจ้างทั่วไป